ธรรมะธรรมจักรกึ่งพุทธกาล วันที่ 12เมษายน 2565
บทที่ 87 **กฎเกมและสภาวะมหาจักรวาล**
+ +
ในเช้าของวันที่12 เมษายน พ.ศ. 2565 ณ มหาวิชชาลัยธรรมิกราช
เมื่อท่านพระพุทธเจ้าน้อยได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่าน เพื่อเฝ้าฟังธรรมแล้วนั้น จึงได้นอบน้อมเฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า…
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอถึงพระพุทธองค์เป็นที่พึ่ง โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมต่อยอดการเรียนรู้
เรื่องเกมชีวิต
— ด้วยการรู้ในเรื่องของวัฏสงสาร ด้วยกฎแห่งวัฏสงสาร และความเป็นอยู่ของดวงจิตทั้งหลาย
ในวัฏสงสาร..
ให้ลูกทั้งหลายได้พิจารณาตามด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ
เพื่อจะได้รู้แจ้งในเกมชีวิต- เกมของวัฏสงสารนี้
เพื่อฝึกฝนเป็นผู้ชนะในเกมด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ ”
– – – –
พระพุทธองค์ :: เอาละนะ พระพุทธเจ้าน้อยเอย..
ถ้าอย่างนั้น ลูกทั้งหลายจงตั้งใจฟังให้ดีนะ
ทำจิตให้สบาย ทำใจให้สงบตั้งมั่น
ผ่อนคลายสภาวะอารมณ์ความรู้สึกที่ตั้งใจนั้น ให้เป็นกลางๆ ว่างๆ สบายๆ
เหมือนดังเด็กน้อย ผู้ตั้งใจฟังนิทานเรื่องเกมชีวิต
เอาละนะ พระพุทธเจ้าน้อยเอย..เมื่อทุกคนพร้อมแล้ว ก็จงตั้งใจพิจารณาธรรม
ดังต่อไปนี้เถิดลูก
ลูกทั้งหลาย.. ก็เข้าใจความเป็นไปของวัฏสงสาร การตั้งอยู่แห่งวัฏสงสาร ด้วย..
โลกก่อเกิดดวงจิต
โลกสวรรค์
โลกสร้างร่างกาย
โลกบาดาล
โลกมนุษย์
และโลกนรก
* รวมถึงสภาวธรรมแห่งดินแดนพระนิพพาน
ลูกเข้าใจแผนที่ของความเป็นอยู่ ความเป็นไปแห่งสรรพสิ่งทั้งหลาย.. ในคลิปที่ผ่านมาแล้ว
ฉะนั้น.. ในคลิปนี้ ลูกจงพิจารณาต่อยอด
โดยการเรียนรู้ เรื่องของกฎกติกาในวัฏสงสารนี้
และความเป็นอยู่ของแต่ละที่ แต่ละสภาวธรรม
การดำเนินชีวิต และเป็นไปของดวงจิตทั้งหลาย..ที่อยู่ในแต่ละจุด
… เพื่อเข้าใจว่า แต่ละที่นั้นอยู่กันแบบไหน อยู่อย่างไร และมีสภาวธรรมเป็นเช่นไร ?
เพื่อที่จะได้รู้แจ้งตามความเป็นจริง ของการอยู่ในวัฏสงสาร
และการที่ถ้าหากว่าลูกนั้นออกจากวัฏสงสาร..สู่แดนนิพพานแล้ว
… จะมีสภาวธรรมเป็นเช่นไรบ้าง ?
ลูกทั้งหลาย.. จะได้ทำความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้
ธรรมในประการที่ 1 —
ลูกทั้งหลายจะได้ทำความเข้าใจอย่างนี้ว่า..
ดวงจิตทั้งหลาย..ก่อเกิดอยู่ในอาณาเขตของวัฏสงสาร
เมื่อดวงจิตก่อเกิดขึ้นแล้ว –ไม่มีภูมิต้านทานจะต่อสู้กับอำนาจแห่งกิเลสตัณหา..
จึงถูกกิเลสตัณหา คือ เชื้อแห่งความทุกข์ ความเร่าร้อน ความลุ่มหลง
ไม่รู้ตามความเป็นจริงนั้น — ครอบงำให้ดิ้นรน อยากได้ อยากมี อยากเป็น
— จึงก่อให้เกิดการสร้างกรรม
* กรรม จึงเป็นตัวลิขิตให้ทุกดวงจิต เป็นไปตามกรรมของตน
แล้วก็ดำเนินไป ตามกรรมของตน
แล้วก็ดำเนินตามอำนาจแห่งกิเลสตัณหา
ด้วยความหลงความไม่รู้ตามความเป็นจริง.. ก็พาสร้างกรรมอยู่ร่ำไป
จนต้องเวียนว่ายตายเกิด หาที่สิ้นสุดมิได้!!
และลูกทั้งหลายนั้น.. เมื่อยังคงต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในอาณาบริเวณ
ในขอบเขตแห่งวัฏสงสารนี้
ออกจากกรงขัง คือ วัฏสงสารอันยิ่งใหญ่ คือ วัฏสงสารนี้ไม่ได้
— ก็ย่อมจะต้องมีกฎ หรือสภาวธรรม 3 ประการ ที่ควบคุมอยู่
… ให้ทุกคนต้องเป็นไปตามอำนาจของเขา —
ซึ่งกฎข้อที่ 1 ก็คือ กฎของกรรม
คือ ใครทำอันใด
จิตดวงใดเลือกกระทำแบบไหน
— จิตดวงนั้น ก็จะต้องมีผลของกรรมนั้น ส่งผลมาให้ตนต้องเป็นไปตาม
ไม่ว่าจะเป็นกรรมดี กรรมชั่ว การกระทำใดก็ตาม..
ถ้าได้ทำไปแล้ว — บุคคลผู้นั้น.. ต้องได้รับผลเป็นแน่แท้ +
เปรียบดังว่าลูกนั้น จะปูทางให้กับชีวิตของตน ดำเนินไปอย่างราบรื่น – ด้วยความดี
หรือว่าลูกนั้นจะขุดหลุมขุดบ่อ วางกับดักเอาไว้ให้กับตนบนเส้นทางชีวิต
— ขึ้นอยู่กับกรรมดี และกรรมชั่วของลูก —
เพราะในที่สุด ชีวิตดวงจิตของลูก.. ก็ต้องดำเนินตามอำนาจแห่งกรรม ที่ลูกได้ทำเอาไว้
ทั้งกรรมดี กรรมชั่ว
กรรมดี – เป็นตัวค้ำหนุน ให้ชีวิตเป็นไปในทางที่ดี
กรรมชั่ว – เป็นตัวทำลาย เป็นอุปสรรคปัญหา เป็นกับดักชีวิต
ฉะนั้น.. ถ้าหากว่า ลูกนั้นยังคงอยู่ในวัฏสงสารนี้อยู่
ก็ต้องจำเป็นที่จะต้องดำเนินตามกฎของวัฏสงสารเช่นนี้
– โดยไม่อาจฝืนได้ …
ไม่ว่าดวงจิตของลูกจะเป็นใคร
ไม่ว่าลูกนั้น จะเก่งขนาดไหน
จะบำเพ็ญบารมี สั่งสมความดีมากเพียงใดแล้วก็ตาม
— หากยังอยู่ในวัฏสงสารนี้อยู่..
ก็จะยังคงต้องเป็นไปตามกฎของกรงขังอันยิ่งใหญ่ คือ วัฏสงสารนี้.. ลูกเอ๋ย
ต่อไป กฎข้อที่ 2 ก็คือ กฎของความไม่เที่ยงแท้
คือ ทุกสรรพสิ่งที่เกิด ที่มีอยู่ ดำเนินอยู่ – ในอาณาบริเวณในขอบเขตแห่งวัฏสงสารนี้
… จะต้องอยู่ใต้กฎอำนาจของความไม่เที่ยงแท้…
ไม่ว่าจะเป็น.. บุคคล เรื่องราว วัตถุสิ่งของข้าวของ ธรรมชาติ
ทุกสรรพสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลงไป ตามเหตุแห่งความไม่เที่ยงแท้*
คือ ทุกสิ่งมีเกิดขึ้น – ตั้งอยู่ – และย่อมมีดับไปเป็นธรรมดา
ขึ้นอยู่กับว่า.. เหตุของสิ่งๆนั้น มีแค่ไหน
ทำให้ผลนั้นก่อเกิดขึ้น ดำเนินไปเป็นเช่นไร
และหมดเหตุเมื่อไหร่ ที่จะเป็นเช่นนั้น
และดับลงเมื่อไหร่
เช่น ลูกทั้งหลาย.. มีเหตุที่ได้ทำเอาไว้ – เพื่อเกิดเป็นมนุษย์
แต่เหตุของการเกิดเป็นมนุย์ของลูกนั้น หมดลง เมื่ออายุ 20 ปี
ถึงแม้จะอายุแค่ 20 ปี
— ลูกก็ต้องดับจากการเป็นมนุษย์ เพราะหมดเหตุแล้วที่จะเป็นมนุษย์ ++
และต้องแปรเปลี่ยนไปตามสภาวะ ตามสภาพแห่งจิต
ที่จะต้องดำเนินไปตามกฎแห่งกรรม// กฎของความไม่เที่ยงแท้
ทุกสิ่งเกิดขึ้น – โดยไม่มีใครยับยั้งการเกิดนั้นได้
ทุกสิ่งตั้งอยู่ – โดยไม่มีสภาวธรรมอะไรเปลี่ยนแปลงไปได้ ไม่ให้มี
ทุกสิ่งจะดับไป เมื่อถึงเวลา
— ไม่ว่าจะเอาอะไรมายับยั้งก็ตาม.. ก็ยับยั้งไม่อยู่!!
การเกิดเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูก
เป็นบุคคลที่รักที่พอใจทั้งหลาย..
การเป็นคู่ครอง คู่ชีวิตที่ดี
การเป็นเพื่อนที่ดี
หรือมีความผูกพันต่อกันมามากเพียงใด – ในรูปแบบใดก็ตาม
— เหตุแห่งความรู้สึกเหล่านั้น.. ได้ก่อตัวขึ้น
– ด้วยบุญที่มีสัมพันธ์ต่อกันมา
– ด้วยกรรมที่พัวพันกันอยู่
แต่เหตุเหล่านั้น.. ก็จะพาให้สิ่งเหล่านี้ ดำเนินไปจนถึงจุดหนึ่ง
* เมื่อถึงเวลา.. ทุกอย่างต้องดับไป *
… เช่นนี้ละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย
ฉะนั้น.. กฎของความไม่เที่ยงแท้ เป็นกฎที่ทุกคนไม่อาจหนีพ้นได้
ต่อไป กฎกติกาข้อที่ 3 ก็คือ
ในโลกธาตุ วัฏสงสารนี้.. เต็มไปด้วยอำนาจแห่งกิเลสตัณหา
กิเลส คือ เชื้อโรคตัวหนึ่ง
ซึ่งคือ เชื้อแห่งความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ
ตัณหา คือ เชื้อแห่งความอยาก และความไม่อยาก
เช่น
ไม่มี – ก็อยากให้มีขึ้นมา
มีขึ้นมาแล้ว – ก็อยากให้มีอยู่ ไม่อยากให้ดับไป
บางสิ่งมีขึ้นมาแล้ว..ไม่ถูกใจ ไม่หมือนที่อยากจะได้ / ต้องการนั้น
— ก็อยากให้มันดับไป..
… เช่นนี้ เป็นต้น
ฉะนั้น.. ความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ / ความอยาก และความไม่อยาก
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้.. จึงเป็นเชื้อโรคชนิดหนึ่ง
ที่เป็นเชื้อแห่งการควบคุม ครอบคลุม
แล้วก็เกาะกินดวงจิตทั้งหลาย..ในวัฏสงสาร ให้เจ็บป่วยด้วย
– โรคแห่งความหลง
– โรคแห่งความรัก
– โรคแห่งความโกรธ
– โรคแห่งความโลภ
– โรคแห่งความอยาก และโรคแห่งความไม่อยาก
ตราบใดที่ดวงจิตทั้งหลาย.. ยังคงอยู่ในอาณาบริเวณแห่งวัฏสงสารนี้
— จึงยังถูกควบคุมด้วยอำนาจแห่งกิเลสตัณหาเหล่านี้
ตกเป็นทาสแห่งเชื้อเหล่านี้.. ให้ป่วยกันทุกดวงจิต – ด้วยโรคแห่งความทุกข์ —
ฉะนั้น.. เมื่อลูกทั้งหลายยังคงอยู่ในวัฏสงสารนี้อยู่
ลูกทั้งหลาย จึงจำเป็นต้องเป็นไปตามกฎแห่งกรรม
ทำกรรมใดไว้ – ต้องได้รับผลของกรรมนั้น
ไม่ว่าจะเป็นกรรมดี กรรมไม่ดี
ปรารถนาจะรับผลหรือไม่.. ก็ต้องเป็นไปเช่นนั้น!
ไม่ว่าลูกทั้งหลาย..ปรารถนาให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีอยู่
– ไม่ปรารถนาให้ดับไป
ลูกทั้งหลาย.. ก็ต้องอยู่ใต้อำนาจกฎของความไม่เที่ยงแท้
ทุกสรรพสิ่ง ต้นไม้ ป่าเขา ลำธาร
ความรู้สึก เรื่องราว บุคคล สิ่งของข้าวของ บ้านเมือง
ทุกอย่างต้องมีการเกิดขึ้น- ตั้งอยู่- และดับไป ตามกฎแห่งความไม่เที่ยงแท้
และดวงจิตทั้งหลาย.. ที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร
— จึงต้องป่วยด้วยโรคแห่งความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ
/ ความอยาก และความไม่อยาก
จนดิ้นรน เร่าร้อน ลุ่มหลง จมอยู่ ทุกข์อยู่ เช่นนี้ อย่างนี้ละ.. พระพุทธเจ้าน้อยเอย
** นี่คือ สิ่งที่ลูกทั้งหลาย.. ควรทำความเข้าใจในเรื่องกฎแห่งวัฏสงสาร 3 ประการ
ที่ถ้าหากว่า ลูกทั้งหลาย.. ยังคงอยู่ที่นี่อยู่
— จำเป็นที่จะต้องตกเป็นทาสของพวกเขาอยู่ !!
ต่อไป ธรรมในประการที่ 2 —
ลูกทั้งหลาย.. จงเรียนรู้ ทำความเข้าใจถึงความเป็นอยู่ของดวงจิตทั้งหลาย.. ที่อยู่ในโลกสวรรค์
โลกสวรรค์นั้น ถูกแบ่งโดยสภาวะแห่งธรรมชาติเป็น 6 ชั้น
โดยสวรรค์ชั้นที่ 1 ชั้นที่ 2 ชั้นที่ 3 ชั้นที่ 4 และชั้นที่ 5 รวมถึงชั้นที่ 6 ด้วย
สวรรค์มีทั้งหมด 6 ชั้น — แบ่งออกไปเป็นอาณาจักรแต่ละชั้นของสวรรค์
แต่ละชั้น ที่มีสภาวะความเป็นทิพย์ และมีความละเอียดอ่อน ประณีต ที่แตกต่างกันไป
เป็นที่อยู่ ที่อาศัยของเหล่าเทวดา ชาวฟ้าทั้งหลาย.. เทพยดา เทพบุตรทั้งหลาย..
หากสั่งสมบารมีได้มากน้อย – ในระดับใด
— ก็ไปอยู่ในสวรรค์ ในชั้นนั้นๆ ตามบุญบารมี++
มีความสุข ความสบาย ตามรูปแบบแห่งชาวฟ้า ชาวสวรรค์
ซึ่งที่นั่น.. ก็ยังคงอยู่กันด้วยความลุ่มหลง
ในความสวยงาม ละเอียดประณีต
อยู่กันด้วยกายทิพย์ มีชีวิตที่สุขสบายก็จริง
— แต่ยังอยู่ในอาณาเขตแห่งวัฏสงสาร —
จึงยังอยู่ใต้กฎแห่งกรรม / กฎของความไม่เที่ยงแท้และใต้อำนาจแห่งกิเลสตัณหา
เพียงแต่เป็นกิเลสที่ละเอียดประณีต
ลุ่มหลงกันไป เพลิดเพลินกันไป
และเมื่อหมดบุญ.. ก็ต้องเป็นไปตามกฎแห่งความไม่เที่ยงแท้
คือ กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย การพลัดพรากจาก
และถ้าหากว่าพลาด ทำในสิ่งที่ไม่ดี.. ก็ต้องตกสู่นรกอเวจี ตามกฎแห่งกรรม
ยังคงต้องอยู่ในสภาวะเช่นนี้..
รวมถึงเหนือสวรรค์ 6 ชั้นขึ้นไป
— ก็ยังมีดินแดนอีกดินแดนหนึ่ง ที่เรียกว่า ดินแดนแห่งพรหมโลก
เป็นที่อยู่ของเหล่าพรหมทั้งหลาย..ผู้ซึ่งบำเพ็ญบารมี เข้าสู่การทำสมาธิ และไปหลงติดอยู่ในฌาน
ก็จะไปอยู่ในพรหมโลกกัน เรียกว่า พรหมทั้งหลาย
เป็นเมืองที่หลับใหลไปในฌาน
** เว้นแต่ชั้นที่ 12 – ชั้นที่ 16 เท่านั้น ที่เป็นดินแดนแห่งความสุข
ซึ่งเป็นดินแดนของเหล่าพระอนาคามี – ที่ไปบำเพ็ญปฏิบัติต่อยอดที่นั่น
เพื่อ..
// สลายความดีเล็กน้อยที่ยังติดอยู่
// สลายการยึดติด ลุ่มหลงในความดี
// และสลายตัวตนที่ยังคงมีอยู่เล็กน้อยเหล่านั้นให้หมด เพื่อเข้าสู่พระนิพพาน เท่านั้น ++
ฉะนั้น.. ในสวรรค์นั้น จึงมีสวรรค์ 6 ชั้น
และมีดินแดนแห่งพรหมโลก – ที่อยู่เหนือสวรรค์ชั้นที่ 6 – ขึ้นไปอีกดินแดนหนึ่ง
ที่นั่น ก็เป็นที่อยู่ที่อาศัยของดวงจิตทั้งหลาย
อยู่ในสภาวะธรรมชาติแบบโลกทิพย์
คือ มีกายเป็นกายทิพย์ เหาะเหินเดินอากาศได้
มีความเป็นอยู่แบบชาวฟ้า ชาวสวรรค์ และชาวพรหมโลกกัน
แต่ในที่สุด.. ถ้าหากว่ายังคงอยู่ในอาณาเขตแห่งวัฏสงสาร
แม้จะดีเลิศเลอ ละเอียดประณีตเพียงใด..
— ความสุขเหล่านั้น – ย่อมไม่เที่ยงแท้
— ความสุขเหล่านั้น – ย่อมเจือปนด้วยกิเลสตัณหา
— ความสุขเหล่านั้น-ย่อมจะสิ้นสุดไป เมื่อหมดรอบของผลบุญที่ได้สร้างเอาไว้
ย่อมต้องเป็นไปตามกฎแห่งวัฏสงสาร 3 ประการอยู่ดี
ต่อไป ธรรมในประการที่ 3 —
ให้ลูกทั้งหลาย..ได้เรียนรู้ ทำความเข้าใจสภาวธรรมความเป็นอยู่ของ
โลกก่อเกิดดวงจิตและโลกสร้างร่างกาย
โลกก่อเกิดดวงจิตเป็นโลกที่มีสภาวะแออัด เป็นสถานที่แห่งการก่อเกดดวงจิตเท่านั้น
ไม่มีดวงจิตกลับไปอาศัยอยู่ที่นั่น
เมื่อมีดวงจิตก่อเกิดขึ้นแล้ว — โดยสภาวะของธรรมชาติแห่งโลกใบนั้น..ก็ทยอยย้ายกันไปอยู่ใน
โลกอื่นๆ อยู่ในอาณาบริเวณของวัฏสงสาร
— โดยอยู่ภูมิอื่น มิติอื่น โลกอื่น.. หมุนวนกันมา
ออกมาเล่นเกมชีวิต เพื่อหาทางออกจากวัฏสงสารนี้ —
ส่วนโลกสร้างร่างกายก็ป็นเพียงโลกที่มีอะไหล่ของร่างกายมากมาย และเป็นที่สร้างร่างกาย
ทุกภูมิ ทุกที่ ทุกกลุ่มดวงจิตของวัฏสงสารนี้
ใครจะเกิดในที่ไหน มีรูปร่าง ร่างกายเป็นยังไง
คน สัตว์ หรือว่าเทวดา นางฟ้า
สัตว์นรก เปรต อสุรกาย
— ก็ล้วนแล้วแต่มีกายมาจากโลกใบนี้ ส่งให้ก่อเกิดเป็นกายของดวงจิตแต่ละดวง
ซึ่งถือว่า เป็นโลกแห่งการสร้างร่างกาย เท่านั้น +
— ไม่มีการไปเกิดของดวงจิตทั้งหลาย.. !!
เพียงแต่มีเทวดาชาวฟ้า — มาจากโลกสวรรค์เพื่อประจำการอยู่ในที่นี้
ทำหน้าที่ดูแลร่างกาย ดูแลโครงสร้างร่างกายทั้งหลาย
— เพื่อที่จะส่งให้กับจิตต่างๆทั้งหลาย..
คือ มีเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลเท่านั้น +
เช่นนี้ละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย.. คล้ายคลึงกับการไปทำงานในที่นั้น
– ในโลกแห่งการสร้างร่างกายนั้น
เมื่อหมดเวลา.. ก็กลับคืนสู่แดนสวรรค์
… เช่นนี้ละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย
ต่อไป ธรรมในประการที่ 4 —
ให้ลูกทั้งหลาย.. เรียนรู้เรื่องราว สภาวธรรมความเป็นอยู่ในโลกบาดาล
ดวงจิตทั้งหลาย..ที่ไปเกิดในโลกบาดาล – ก็มีกายเป็นพญานาค
พญานาคแบบสัตว์เดรัจฉาน- ในเมืองบาดาล คือ เป็นตัวองค์พญานาคนั้น
และพญานาคผู้ที่เป็นชาวบาดาล ที่มีบารมี.. ก็จะมีรูปกายเป็นกายทิพย์
– คล้ายกับกายของเหล่าเทวดาชาวฟ้า และรูปร่างหน้าตาคล้ายกับมนุษย์เรา
— เพียงแต่มีความเป็นทิพย์ – ที่สูงกว่ามนุษย์
และความเป็นทิพย์ – ก็ต่ำกว่า ชาวสวรรค์
ในเมืองบาดาล ก็ลึกลงไปจนถึง 15 ชั้น
เป็นดินแดนที่อยู่แห่งชาวบาดาลทั้งหลาย..
ก็มีความสวยงามประณีต – ไปตามแต่ละระดับของชั้น
แต่ละชั้นลึกเข้าไปถึง 15 ชั้น – ซ้อนอยู่กับพื้นดิน ผิวน้ำ ของมนุษย์ทางชมพูทวีป
แล้วก็เจาะลึกเข้าไปในเมืองบาดาล — ก็เป็นที่อยู่ที่อาศัยของเหล่าพญานาคทั้งหลาย..
แต่เมื่อยังคงอยู่ในบริเวณแห่งวัฏสงสาร
— จะมีรูปกายแบบไหน เกิดในที่ใด.. ก็เป็นไปตามกฎกรรมของตนเท่านั้น ++
/ ยังคงต้องมี ความรัก โลภ โกรธ หลง ครอบงำอยู่
/ มีกิเลสตัณหาครอบงำในใจ
/ มีความอยากได้ อยากมี อยากเป็น แก่งแย่งชิงดี
และถึงแม้จะสุขสบายกว่าโลกมนุษย์ ในเมืองทิพย์แห่งเมืองบาดาลนั้น..
ก็ยังคงเป็นของไม่เที่ยงแท้
ยังไม่เป็นสุขที่แท้จริง
ในที่สุด.. ก็ต้องเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป — สลายกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกอยู่ดี
ถ้าพลาดเมื่อไหร่ ก็ตกลงสู่นรกอเวจี..
// ไม่พ้นจากการเป็นสัตว์นรก เป็นอสุรกาย
// ไม่พ้นจากอำนาจกฎแห่งกรรม เป็นแน่แท้
// ไม่พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด.. ลูกเอ๋ย
… เช่นนี้ละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย
ฉะนั้น พญานาคทั้งหลาย.. ก็จึงต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์
กลับมาสั่งสมบารมีเพื่อเวียนวนกันต่อไปตามระบบของกฎแห่งธรรมชาติในวัฏสงสาร
ต่อไป ธรรมในประการที่ 5 —
ลูกทั้งหลาย.. จงเรียนรู้ ทำความเข้าใจตามสภาวธรรมความเป็นอยู่ของโลกมนุษย์
ซึ่งโลกมนุษย์ ก็แบ่งออกมาทั้งหมด เป็นทั้งหมด 4 ทวีป
ทวีปที่เราอยู่นี้ สมมุติเรียกในภาษามนุษย์ว่า ชมพูทวีป
ส่วนทวีป อีก 3 ทวีป ก็คือ
- อุตตรกุรุทวีป
- อมรโคยานทวีป
- ปุพพวิเทหทวีป
ซึ่งก็เป็นทวีปที่มีชาวมนุษย์อยู่ — แต่ก็จะมีความแตกต่างของความเป็นมนุษย์
คือ เป็นมนุษย์ที่มีความเป็นทิพย์ กึ่งเทวดา กึ่งมนุษย์
คือ เป็นเมืองมนุษย์ที่มีความทุกข์ยากลำบาก
– อยู่กันแบบขาดแคลน ผอมแห้ง
– อยู่กันแบบผู้ที่น่าสงสาร
– อยู่ไปเพื่อชดใช้กรรม
และก็เป็นผู้ที่เป็นมนุษย์ยักษ์ ซึ่งก็เป็นอาณาจักรแห่งผู้หลงอำนาจ — ก็ไปเกิดในที่นั้น
เพราะบุญไม่พอที่จะเกิดเป็นเทวดา
แต่ก็มีบารมีของการสั่งสมความดีอยู่บ้าง
— แต่ลุ่มหลงในความดี หลงในอำนาจเหล่านั้น.. ก็ไปอยู่ในเมืองมนุษย์ยักษ์ —
… เช่นนี้ละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย
ซึ่งอีก 3 ทวีป นั้น — เขาไม่สามารถที่จะสั่งสมบุญ เขาเป็นเพียงผู้เสวยบุญ และเสวยบาป
– ตามอัตภาพตามกรรมของเขาเท่านั้น ++
ส่วนชมพูทวีป– เป็นดินแดนแห่งการตรัสรู้ธรรม ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย
เป็นสถานที่เกิดแห่งดวงจิตทั้งหลาย -ผู้ที่มีบุญมีบารมี
ได้ฟังธรรมขององค์พระพุทธเจ้า
…เพื่อเข้าสู่การบรรลุธรรม สู่แดนพระนิพพาน **
จึงเป็นสถานที่แห่งการคัดกรองดวงจิต ว่า ..
จะไปสวรรค์
จะลงนรก
จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์
หรือจะทดสอบตนเอง ด้วยบททดสอบต่างๆ
… เพื่อที่จะไปสู่พระนิพพาน – ด้วยการเป็นผู้สามารถทำคะแนนสูงสุดในเกมชีวิตนี้
และหลุดพ้นตามองค์พระพุทธเจ้าไปสู่แดนพระนิพพาน
คือ เป็นพระอรหันต์
ฉะนั้น.. ศาสนาของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ –จึงเผยแผ่ปักหลัก
ก่อเกิดการเผยแผ่ศาสนาที่ชมพูทวีป
เช่นนี้ละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย..
ฉะนั้น.. ลูกทั้งหลายผู้เกิดในชมพูทวีป
– จึงเป็นกลุ่มดวงจิต ที่มีโอกาสที่จะทำความเข้าใจในเกมชีวิต
เล่นเกมชีวิตนี้ให้ถึงซึ่งการมีชัยชนะอันสูงสุด คือ พระนิพพาน
หากได้คะแนนรองลงมา.. ก็อาจอยู่ในพรหมโลก อยู่ในสวรรค์ อยู่ในเมืองบาดาล
กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ต่อยอดความดีไปอีก +
หรืออาจเป็นผู้ที่เป็นพระอริยเจ้า ในระดับพระโสดาบันขึ้นไป..
คือ..
เป็นผู้ปิดอบายภูมิ – ไม่ตกนรกแน่นอน
ปิดการเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน – ไม่เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานแน่นอน
เป็นผู้ที่มีสวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ
คือ เป็นผู้ที่ ถ้าหากว่า.. ยังไม่ถึงพระนิพพานแล้ว – ก็เกิดอยู่ในสวรรค์
เกิดเป็นมนุษย์ – ต่อยอดความดีเข้าสู่พระนิพพาน
เกิดเป็นมนุษย์อีกไม่เกิน 7 ชาติ
… เช่นนี้ เป็นต้น ลูก
ฉะนั้น.. ลูกจงบำเพ็ญสั่งสมความดี ทำคะแนนความดีมาก
… ด้วยการเรียนรู้ เข้าใจเกมของวัฏสงสารนี้
— เพื่อออกจากที่นี่ไป.. จะได้หายทุกข์อย่างถาวร ++
ต่อไป ธรรมในประการที่ 6 —
ลูกทั้งหลาย.. จงเรียนรู้สภาวธรรมความเป็นอยู่ของโลกนรก และมิติต่างๆ ภูมิต่างๆ
สภาวธรรมของโลกนรกนั้น..
หากมีดวงจิตที่เป็นมนุษย์ก็ดี เทวดาก็ดี
เป็นดวงจิตในเมืองบาดาลก็ตาม
— หากได้สร้างบาปสร้างกรรมแล้ว จะต้องชดใช้กรรมในเมืองนรก
ซึ่งนรกก็มีนรกขุมใหญ่อยู่ 8 ขุม
และมีขุมเล็กขุมน้อยอีกมากมาย นับไม่ถ้วน
ขุมนรกสามารถเกิดขึ้น – ตามพลังบารมีแห่งผู้ที่ดูแลวัฏสงสาร
คือ เจ้าจักรพรรดิแห่งจักรวาล ดูแลทั้งหมดของวัฏสงสารนี้
หรือเหล่าพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย.. สามารถสร้างขุมนรกเพิ่มขึ้น
— เพื่อรองรับการทำผิดของดวงจิตทั้งหลาย..
และทำให้ขุมนรกขุมเล็กขุมน้อยเหล่านั้น ลดลงไปตามกรรมของดวงจิตในวัฏสงสาร
– ที่อาจไม่ได้ทำชั่วมาก –
จึงไม่จำเป็นต้องมีดวงจิตที่อยู่ในขุมนรกเล็กๆนั้น..
— ก็สามารถทำให้ดับไป —
ขุมนรกทั้งหลาย.. จึงมีทั้งถาวร และเกิดขึ้น-ดับไป
เป็นที่แห่งการทำโทษดวงจิต.. จึงไม่มีดวงจิตไปอาศัยอยู่!
นอกจากดวงจิตที่ถูกลงโทษ และส่งลงไปทำโทษเท่านั้น
… เช่นนี้ละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย
ส่วนภูมิต่างๆ มิติต่างๆ นั้น.. ก็ซ้อนอยู่ในช่องว่างระหว่าง
นรกมาสู่โลกมนุษย์
ซ้อนอยู่ในเมืองบาดาล
เมืองบาดาลสู่โลกมนุษย์
บาดาลสู่สวรรค์
มนุษย์สู่สวรรค์
ซ้อนอยู่ในโลกสวรรค์
ซ้อนอยู่ในโลกมนุษย์
— เรียกว่า ภูมิที่ซ้อนกันอยู่..
เช่น ถ้าเป็นโลกมนุษย์เราก็คือ เมืองบังบด ลับแลต่างๆ
ภูมิของสัมภเวสี จิตวิญญาณเร่ร่อนต่างๆ เช่นนี้ เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้ เรียกว่า มิติต่างๆ ภูมิต่างๆ
นี่คือ ความเป็นอยู่ต่างๆของชาวนรก และความเป็นอยู่ของภูมิต่างๆ มิติต่างๆ
ดวงจิตทั้งหลาย.. เมื่อยู่ในนรกย่อมทุกข์มาก
ดวงจิตทั้งหลาย.. เมื่ออยู่ในภูมิต่างๆ ย่อมไม่มีความไม่เที่ยงแท้
.. และทุกข์ตามอัตภาพของภูมิต่างเหล่านั้น..
ถึงเวลา ก็ต้องกลับมาเกิด มาเวียนว่ายอยู่ดี !
… เช่นนี้ละพระพุทธเจ้าน้อยเอย
ต่อไป ธรรมในประการที่ 7 —
คือ ลูกทั้งหลาย.. จะต้องได้เรียนรู้
ทำความเข้าใจถึงความเป็นอยู่ของสภาวธรรมแห่งพระนิพพาน
พระนิพพานนั้น แบ่งออกเป็น 9 ชั้น – ด้วยความละเอียดแห่งแดนนิพพาน
บนนิพพานชั้น 9 นั้น — เป็นที่ประทับของ องค์บรมบิดา พระผู้สร้างโลกจักรวาล
* ท่านไม่เคยเกิด ไม่เคยเวียนว่ายในวัฏสงสาร
ท่านนั้น.. ประทับอยู่ที่นั่นอย่างถาวร
ท่านเป็นผู้ที่มีพลังมากมาย
เป็นผู้ดูแลดวงจิตทั้งหลาย..ด้วยความเมตตา
เป็นผู้ที่ทำให้ก่อเกิดองค์พระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า -ตั้งแต่พระองค์แรก จนถึงองค์ปัจจุบันนี้
– และพระองค์ต่อๆไปด้วย
ด้วยที่ว่า ท่านจะเลือกเอาจิตที่มีความแข็งแกร่งมากพอที่จะบำเพ็ญบารมี จนถึงซึ่งการตรัสรู้
และชาร์จพลัง เติมพลังแก่จิตทั้งหลายเหล่านั้น..
คอยเป็นผู้ช่วยให้ดวงจิตขององค์พระสัมมาสัมพระพุทธเจ้าทั้งหลาย..
สามารถที่จะต่อยอดการบำเพ็ญจนถึงซึ่งการตรัสรู้ เป็นองค์พระสัมมาสัมพระพุทธเจ้าได้
เพื่อเป็นผู้นำ — นำพาดวงจิตทั้งหลายในวัฏสงสาร..
เล่นเกมชีวิตตามคำสอนขององค์พระพุทธเจ้า- ที่ได้ตรัสรู้แล้ว เข้าสู่พระนิพพาน
ฉะนั้น.. องค์บรมบิดา ท่านทรงประทับอยู่ในนิพพานชั้น 9
และต่ำลงมา – ชั้น 8 ชั้น 7 ชั้น 6
— ก็เป็นดินแดนที่อยู่แห่งองค์พระสัมมาสัมพระพุทธเจ้าทั้งหลาย..ที่ตรัสรู้ไปแล้ว
ส่วนต่ำจากนั้นลงมา..เป็นดินแดนแห่งองค์พระปัจเจกพุทธเจ้า และเหล่าพระอรหันต์ทั้งหลาย
– ก็อยู่ในชั้นระดับต่างๆ
แต่นิพพานชั้นที่ 1 — ก็มีองค์พระสัมมาสัมพระพุทธเจ้าประทับอยู่
ซึ่งดวงจิตที่เป็นพระอรหันต์ เป็นผู้หมดกิเลสแล้วทั้งหลาย เข้าสู่นิพพานแล้ว ย่อม..
สามารถไปได้ในทุกที่
สามารถดำเนินชีวิตของดวงจิตนั้นๆ
– ได้ตามอากาศ
– ได้ตามความว่าง
– ได้ตามความมี และไม่มี
— ทรงสภาวะอยู่เหนือการมี และไม่มีทั้งปวง ++
เพียงแต่ อาณาเขตแต่ละชั้นของพระนิพพานนั้น
แบ่งไว้ก็เพื่อได้รู้ถึงความละเอียดในนิพพาน
ว่า.. ละเอียดสุดไปจนถึง 9 ชั้น เท่านั้น
และการที่กล่าวว่า เป็นที่อยู่นั้น
… ก็เพราะว่า ความละเอียดเหล่านั้น.. ก็จะลึกขึ้นไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง +
แต่จะไม่มีการแบ่งแยกสูงต่ำ
แบ่งแยกด้วยอัตตาด้วยตน – เหมือนกับชาววัฏสงสาร
คือ อยู่กันไป แบ่งแยกด้วยระบบธรรมชาติแห่งที่นั่น คือ ความละเอียดเท่านั้นละลูก
— แต่ไม่ใช่การแบ่งแยกของดวงจิต !!
* เป็นดินแดนที่เป็นอมตะ
* เป็นดินแดนที่ไม่ต้องอยู่ใต้อำนาจของกฎใดๆ
* เป็นดินแดนที่สิ้นสุดความทุกข์ อย่างแท้จริง
ฉะนั้น.. ผู้ชนะในเกมวัฏสงสารทั้งหลาย.. จึงไปสู่แดนพระนิพพาน ที่ที่เป็นสุขอย่างถาวร
เช่นนั้นละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย..
องค์พระพุทธเจ้าทั้งหลาย.. จึงมาตรัสรู้ในโลก
เพื่อฉุดช่วยดวงจิตทั้งหลาย..ให้อออกจากวัฏสงสาร
เป็นผู้ชนะในเกม และไปสู่แดนพระนิพพาน…
พระนิพพานนั้น จะว่ามีอยู่ก็ไม่ใช่ — เพราะเป็นสถานที่ที่ละเอียดมาก
จะว่าไม่มีอยู่ ก็ไม่ใช่ — เพราะเหนือการมีและไม่มีทั้งปวง
เป็นเรื่องแห่งความละเอียดอ่อน
ลูกทั้งหลาย.. เมื่อปฏิบัติจนเข้าถึงสภาวะความรู้สึกนั้นแล้ว – ก็จะเข้าใจ
เช่นนี้ละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย..
คือ กฎแห่งวัฏสงสาร และความเป็นอยู่ของดวงจิตทั้งหลาย
ในอาณาบริเวณของวัฏสงสาร ตั้งแต่ธรรมประการที่ 1 – จนถึงประการที่ 6
ส่วนประการที่ 7 นั้น คือ สภาวธรรมแห่งแดนพระนิพพาน
เช่นนี้ละ ลูก.. พอจะเข้าใจบ้างแล้วหรือยังเล่า
จงกล่าวธรรมนั้นมาเถิด.. ลูกเอ๋ย
+ +
พระพุทธเจ้าน้อย :: สาธุ พระพุทธเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณในความเมตตาของพระพุทธองค์ พระพุทธเจ้าค่ะ
ลูก เมื่อได้สดับฟังธรรมอธิบายเหล่านี้แล้ว ลูกพอจะเข้าใจแล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ ว่า..
ถ้าหากว่า เรายังอยู่ในวัฏสงสารนี้
–เราก็เป็นดวงจิตที่จะต้องเป็นไปตามกฎแห่งกรรม// กฎของความไม่เที่ยงแท้
ตามอำนาจแห่งกิเลสตัณหา
จะต้องเป็นผู้เกิด และดับ — ตามความไม่เที่ยงแท้ +
เป็นผู้เป็นไป – ตามกรรมที่ตนได้ทำ
เป็นผู้อยู่ใต้อำนาจแห่ง ความรัก โลภ โกรธ หลง / ความอยาก ความไม่อยาก
… เราก็จะต้องเป็นทุกข์อยู่ร่ำไป
และความเป็นอยู่ของชาวฟ้า คือ เทวดานางฟ้าทั้งหลายนั้น..
ถึงแม้จะมีความละเอียดประณีตสูงเพียงใด..
แต่สุดท้าย.. ก็ไม่เที่ยงแท้
และต้องเป็นไปตามกรรม ตามอำนาจแห่งกิเลสอยู่ดี !
การที่ถ้าหากว่า เรานี้ได้เกิดอยู่ในวัฏสงสาร ไม่ว่าจะเป็นที่ใดก็ตาม — เราก็ต้องเป็นทุกข์
หากเกิดอยู่ในโลกแห่งการก่อเกิดดวงจิต เราก็จะต้องดิ้นรนออกจากโลกแห่งดวงจิตไป
ก็ไปทุกข์ต่อในโลกอื่นๆ ภูมิอื่นๆ มิติอื่น
– เป็นไปตามกฎของวัฏสงสาร –
แล้วก็ เราจะเกิดอยู่ในเมืองบาดาล อยู่ในโลกมนุษย์ ทวีปใดๆก็ตาม
… ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสถานที่แห่งการ
อยู่ เพื่อชดใช้กรรม
อยู่เพื่อเสวยผลบุญ
อยู่เพื่อรอการดับ คือ ความไม่เที่ยงแท้ อยู่ใต้อำนาจแห่งกิเลสตัณหาทั้งนั้น
เราจึงควรที่จะฝึกฝนตน บำเพ็ญบารมีเพื่อเกิดในชมพูทวีป
ต่อยอดความดี เรียนรู้ตามคำสอนขององค์พระพุทธเจ้า –เพื่อออกจากวัฏสงสาร
// จะได้ไม่ตกนรกอีก
// จะได้ไม่เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานอีก
// จะได้ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด หลงสุข หลงทุกข์ในวัฏสงสารนี้ในโลกต่างๆ หรือมิติต่างๆ
— เพื่อเข้าสู่แดนพระนิพพาน คือ ที่ที่พ้นทุกข์อย่างแท้จริง ++
ลูกพอจะเข้าใจแล้วว่า เพราะอะไรทุกคน..
— จึงต้องไปสู่พระนิพพาน
— จึงต้องออกจากวัฏสงสารไป
ลูกพอจะเข้าใจความเป็นอยู่ และกฎของวัฏสงสาร เช่นนี้อย่างนี้แล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณในความเมตตาของพระพุทธองค์ นะเจ้าคะ
วันนี้ ลูกต้องกราบขอลาก่อน เอาไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ พระพุทธเจ้าค่ะ…
สาธุ