การก่อเกิดบรมบิดา ก่อเกิดวัฏสงสาร

ธรรมะธรรมจักรกึ่งพุทธกาล   วันที่   6  กุมภาพันธ์  2565

บทที่ 39**การก่อเกิดบรมบิดาวัฏสงสาร**

+ +

 

ในบ่ายของวันที่  4  กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565ณ อ.สังขละบุรี

เมื่อท่านพระพุทธเจ้าน้อยได้น้อมจิตขึ้นเข้าเฝ้า ต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเพื่อเฝ้าฟังธรรมแล้วจึงได้นอบน้อมเฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า…

 

“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..

ลูกก็พอจะทราบถึงเรื่องของการก่อเกิดโลก จักรวาล วัฏสงสารก่อเกิดทุกสรรพสิ่ง

เข้าใจถึงเหตุปัจจัยแห่งการก่อเกิด และการสิ้นสุดแล้ว ว่า..

เราจะต้องสิ้นสุด –ด้วยการดับการเกิดของเราเอง  และกลับคืนสู่พระนิพพาน

 

แต่ว่าวันนี้ ลูกปรารถนาจะขอถึงพระพุทธองค์ โปรดทรงเมตตาอธิบายถึงสภาวธรรม

แห่งการก่อเกิดองค์บรมบิดา  และก่อเกิดโลกจักรวาลวัฏสงสารนี้ให้ลูกได้ฟังอย่างละเอียด

เพิ่มเติมขึ้นอีก พระพุทธเจ้าค่ะ ”

– – – –

 

พระพุทธองค์ ::   ก็ดีแล้วละนะ  พระพุทธเจ้าน้อยเอย..

เพราะลูกนั้นก็ได้ฟัง ตอนที่ทำพุทธพิธีเปิดโลก เปิดจักรวาลไปแล้ว

แต่อาจจะไม่ได้เข้าใจถึงรายละเอียด  จนเกิดข้อสงสัยอยู่บ้างในบางสิ่ง

 

คนเรานั้น ถ้ารู้แล้ว – รู้น้อยเกินไป จนไม่มีเหตุมีผล ข้อสรุปที่ชัดเจนให้มั่นใจ – ก็ไม่เป็นผลดี

ถ้ารู้มากจนเกินไป จนกลายเป็นความยุ่งยากลำบาก  เข้าใจยากสลับซับซ้อน – ก็ไม่เป็นผลดี

 

ฉะนั้น..  ควรที่จะรู้พอดี พอประมาณ  รู้อย่างเป็นกลางๆ  รู้พอเข้าใจได้

โดยไม่มีข้อสงสัยใดแล้ว — ก็ถือว่าพอดี  ถือว่าเป็นประโยชน์ยิ่ง แก่บุคคลผู้รู้นั้น

 

ดีแล้วละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย..

ถ้าอย่างนั้น ก็จงตั้งใจฟังธรรมอธิบายดังต่อไปนี้นะ..พระพุทธเจ้าน้อย

 

ธรรมในประการที่ 1

ให้ลูกทั้งหลาย.. จงทำความเข้าใจให้แจ้งอย่างนี้ว่า

 

เมื่อครั้งอดีตยาวนาน จนนับเป็นกาลเวลามิได้นั้น

ทุกสรรพสิ่งย่อมไม่มี ไม่ก่อเกิด

ทุกอย่างว่างเปล่า  เป็นเพียงแค่สภาวะแห่งธรรมชาติ ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ

เป็นเพียงแค่อากาศว่างๆ – ไม่มีสิ่งใดเลย…

 

มีเพียงแค่ธาตุอากาศ ดิน น้ำ ลม ไฟ ชุมนุมกันอยู่เป็นที่โล่งๆ แบบไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น

ว่างอยู่อย่างนั้น.. จนไม่อาจนับเป็นการเวลาได้

และไม่อาจมีใครรู้ได้เลยว่ายาวนานเพียงใด…

 

และสภาวธรรม ณ ตอนนั้นๆ  ก็เป็นเพียงแค่ความว่าง ความโล่ง ความโปร่ง

เป็นไปตามธรรมชาติ ณ ยุคนั้น ตอนนั้น  เป็นเช่นนั้นละลูก

 

ให้ลูกมองให้เห็นภาพ  นึกให้ออกถึงความว่าง ความไม่มี

ถึงอากาศที่โล่ง โปร่ง  หาที่ที่จะสิ้นสุด

และประมาณมิได้ในความเป็น ความมี ความกว้างขวางของสิ่งเหล่านั้น —

หาไม่ได้ ไม่มี  ไม่เจอ  ไม่มีที่สิ้นสุด

รู้แต่เพียงว่า มี

 

สภาวะแห่งอากาศที่โล่งไปหมด  ไม่มีสิ่งใดเลยสักสิ่งสักอย่าง  มีเพียงอากาศโล่งๆ ว่างๆ

ที่ประกอบไปด้วยธาตุอากาศ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ชุมนุมกันอยู่

– มีเพียงสภาวธรรมแค่นั้นละลูก

 

ต่อไป  ธรรมในประการที่ 2

พอเวลานั้นผ่านมายาวนานเท่าไรไม่รู้  ไม่มีใครรู้ แม้แต่องค์บรมบิดา

เพราะนั่นคือ สภาวธรรมแห่งธรรมชาติ

 

 

จนมีอยู่ในวันหนึ่ง ในครั้งหนึ่งนั้น  มีเหตุอันใดก็ไม่มีใครทราบได้

ธาตุอากาศ  ดิน น้ำ ลม ไฟ  รวมตัวกันมา  หมุนกันมาเป็นคลื่น  เหมือนกลุ่มก้อนเมฆ

ก้อนอากาศที่ม้วนตัวกันมา  รวมตัวกันมา  และหล่อหลอมอยู่ยาวนานเพียงใด

… ก็ไม่มีใครทราบได้

จนค่อยๆรวมตัว กำเนิดก่อเกิดเป็นองค์บรมบิดา  พระผู้สร้างโลก จักรวาล -ก่อเกิดขึ้นมา

 

เมื่อองค์บรมบิดาค่อยๆก่อเกิดขึ้นมา ด้วยธาตุอากาศ ดิน น้ำ ลม ไฟ จากธรรมชาติในสมัยนั้น

ยุคนั้น

องค์บรมบิดานั้น ท่านก็มีแต่เพียงผู้เดียว  อยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดเลยสักสิ่งหนึ่ง

ทุกอย่างว่าง   และท่านก็ประทับอยู่เช่นนั้น อย่างนั้น แต่เพียงผู้เดียว

เป็นกาลเวลายาวนาน จนไม่อาจนับได้  และก็ไม่มีกาลเวลาใดๆให้นับด้วย

 

ณ เวลานั้น วันคืนไม่มี  ไม่มีอะไรสักสิ่ง

มีเพียงแค่ความว่างเปล่า  พร้อมด้วยองค์บรมบิดา

เพียงพระองค์เดียว ที่อยู่กับความว่างนั้น

 

ยาวนานเรื่อยมาๆ  จนเวลาต่อมา..ก็มีคลื่นแห่งธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ -รวมตัวก่อเกิดขึ้นมา

 

ขึ้นสู่ธรรม ประการที่ 3

เมื่อเวลาผ่านไปยาวนาน  จึงได้มีธาตุอากาศ ดิน น้ำ ลม ไฟ รวมตัวกันมา

หล่อหลอมกันมาเป็นกลุ่มก้อน

มาตั้งอยู่เป็นก้อนของคลื่นพลังงานแห่งอากาศ ดิน น้ำ ลม ไฟ — อยู่ 7 ก้อน

พระองค์ท่านจึงได้นึกขึ้นมาว่า สิ่งเหล่านี้จะก่อเกิดเป็นอะไรต่อไปดี..

 

ท่านเฝ้าดูแล้ว จึงได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า  ขอให้ธาตุอากาศ  ดิน น้ำ ลม ไฟ เหล่านี้

ก่อตัวขึ้นมา เป็นโลกแต่ละโลก

และขอให้สภาวธรรมเหล่านั้น ได้ก่อเกิดเป็นดินแดนต่างๆ ที่มีสภาวธรรมต่างกันไป

– ตามเหตุของธรรมชาติจะเป็นไป

 

ทีนี้  เมื่อท่านได้อธิษฐานจิตเช่นนี้แล้ว  ก็เพาะบ่มไปๆ ด้วยอากาศ ดิน น้ำ ลม ไฟ

เหล่านั้น  ก็เพาะบ่มกันไปยาวนาน  จนก็นับกาลเวลามิได้ – เพราะไม่มีกาลเวลาใดให้นับ

รู้เพียงแต่ว่า ผ่านไปยาวนาน..

จึงค่อยๆก่อตัวขึ้นมา เป็นโลกแต่ละโลก

 

และในสถานที่แต่ละสถานที่นั้น ก็มีสภาวธรรมแตกต่างกัน ตามเหตุปัจจัยของธรรมชาติ

ที่สร้างขึ้นมา

 

ซึ่งในโลกแห่งการก่อเกิดดวงจิต

ก็มีสภาวธรรมแห่งความแออัด – ด้วยอากาศในที่แห่งนั้น

 

สภาวธรรมแห่งโลกสวรรค์ – ก็เป็นสภาวธรรมที่มีความเป็นทิพย์ที่สูง

มีระบบของความพิเศษมากมาย

 

โลกบาดาล– ก็มีสภาวธรรมที่ก่อเกิดขึ้น คือ เป็นโลกที่มีความเป็นทิพย์รองลงมา

สวยงาม  และมีอายุขัยยืนยาว – เช่นเดียวกัน

 

โลกก่อเกิดร่างกาย หรือสร้างร่างกาย – ก็เป็นสภาวธรรม คือ ความชุ่มเย็นสบายดี

และเป็นสภาวะแห่งธรรมชาติ เช่นนั้น อย่างนั้น

 

โลกนรกนั้น – ก็มีสภาวธรรมโดยธรรมชาติของโลกนรก คือ  มีธาตุไฟมาก

– จนมีความรุ่มร้อน เร่าร้อน –

เป็นโลกที่ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้เลย ++

 

ส่วนโลกมนุษย์ – ก็มีสภาวธรรมเป็นโลกหยาบ  ทุกสรรพสิ่งเป็นของหยาบทั้งหมด

แต่ทุกสิ่ง.. ก็มีอายุขัยไม่ยืนยาวนัก

เกิดขึ้น ตั้งอยู่  แล้วก็ดับไป – ในช่วงเวลาสั้นๆ +

 

เมื่อจักรวาลทั้ง 7 ได้ก่อเกิดขึ้นแล้ว – ตามระบบธรรมชาติที่ก่อเกิดขึ้นเอง

โดยธรรมชาติทั้งหมด– เพียงแต่เป็นไปตามการอธิษฐานจิตแห่งองค์บรมบิดา

ซึ่งท่านก็พิจารณาว่า..  มีแต่ความว่างเปล่า

หากมีโลกแต่ละโลกเกิดขึ้นมา ก็คงจะดี..ท่านจึงอธิษฐานเช่นนั้น

บัดนั้นมา จึงมีการก่อเกิดโลก จักรวาล วัฏสงสารมา

… เช่นนี้ละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย

 

และองค์บรมบิดา.. ก็ดูแลโลกแต่ละโลก — ด้วยการสอดส่องดูแลยาวนานมา

และโลกสวรรค์ โลกดวงจิต โลกร่างกาย โลกมนุษย์  บาดาล และโลกนรกนั้น

.. ก็อยู่ในสภาวธรรมของแถบหนึ่ง ซึ่งเป็นคลื่นพลังงาน – ที่มีสภาวธรรมแห่งสิ่งที่เรียกว่า

วัฏสงสาร ครอบคลุมอยู่

 

ส่วนพระนิพพานนั้น – ก็เป็นโลก  หรือสภาวธรรมของโลกหนึ่งที่แยกออกไป ห่างจากวัฏสงสารไป

มีความแตกต่าง คือ..

– มีความละเอียดมาก

– มีความบริสุทธิ์มาก

– และมีความเที่ยงแท้ จีรังยั่งยืน

– มีสภาวธรรมคล้ายคลึงกับองค์บรมบิดา

… เช่นนี้ละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย

 

ต่อไป ธรรมประการที่ 4

สภาวธรรมขององค์บรมบิดานั้น ให้ลูกทั้งหลาย.. จงเรียนรู้เช่นนี้ อย่างนี้ว่า

องค์บรมบิดาไม่เคยเกิด ไม่เคยเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร

ท่านก่อเกิดขึ้นมาแล้ว.. ท่านก็ตั้งอยู่อย่างนั้น เป็นเช่นนั้นยาวนานจนทุกวันนี้

 

ท่านคอยสอดส่องดูโลกแต่ละโลก

และคอยใช้พลังจากองค์ท่านเองช่วยเหลือ ในสภาวะต่างๆ ที่พอจะช่วยเหลือได้

ท่านก็ประทับอยู่บนนิพพานชั้น 9  คือ สูงสุดแห่งสภาวะของความละเอียด

ดูโลกธาตุ จักรวาลวัฏสงสาร

มีความเป็นอมตะ ไม่เกิด ไม่ตาย

ไม่แปดเปื้อนด้วยสิ่งใด

— นอกจากเฝ้าดูแลพวกเราทุกดวงจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้

ด้วยความเมตตาเท่านั้น  ++

 

— นั่นคือ สภาวธรรมขององค์บรมบิดาละ ลูก —

 

และหลายคน คงตั้งคำถามว่า  ถ้าอย่างนั้น องค์บรมบิดาจะสร้างโลก สร้างดวงจิตขึ้นมา

ด้วยเหตุอันใดเล่า

 

การสร้างนั้น.. จะเรียกว่าสร้างก็ได้  จะเรียกว่าไม่ได้ตั้งใจที่จะสร้างก็ได้ +

เพราะเป็นเพียงการอธิษฐานจิตจากท่านเท่านั้น  แล้วสรรพสิ่งก็ก่อเกิดขึ้นตามระบบธรรมชาติ

ดำเนินไปตามระบบธรรมชาติ

 

แม้ท่านเอง.. ก็ไม่สามารถทำลายระบบธรรมชาติเหล่านั้นได้เลย

นอกจากพยายามทำให้เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น เท่านั้นละ ..พระพุทธเจ้าน้อย

 

ต่อไป ธรรมในประการที่ 5

ความเมตตาขององค์บรมบิดา ที่มีต่อดวงจิตทั้งหลาย..ในวัฏสงสาร

คือ ท่านมีความเมตตาแก่ดวงจิตทั้งหลายมาก

มีความสงสารดวงจิตทั้งหลายอยู่มาก

 

เมื่อเห็นดวงจิตทั้งหลายเป็นทุกข์ — ก็มีความปรารถนาให้ดวงจิตทั้งหลาย.. เป็นสุข

เมื่อเห็นดวงจิตทั้งหลาย เป็นทุกข์ — ก็ปรารถนาจะช่วยเหลือดวงจิตทั้งหลาย..ให้พ้นทุกข์

เมื่อเห็นดวงจิตทั้งหลาย ได้ประสบความสุขแล้ว

— ท่านก็ยินดีเมื่อดวงจิตทั้งหลาย..ได้ดีแล้ว

 

และเมื่อท่านไม่สามารถปรับเปลี่ยน  หรือแก้ไขอะไรในระบบธรรมชาติได้เลย

ท่านก็มีการวางใจเฉย – ตามเหตุตามปัจจัย  ตามสภาวะความเป็นไปของทุกสรรพสิ่ง

 

เช่นนี้ละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย..ท่านทรงอารมณ์ที่เรียกว่า อารมณ์พรหมวิหาร 4

มีความเมตตาอย่างพุทธะ

เมตตากับสรรพสัตว์ ดวงจิตทั้งหลาย.. ผู้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้ อยู่เสมอ

 

ท่านจึงมีการช่วยเหลือดวงจิตให้โยกย้ายจากโลกดวงจิต.. สู่โลกอื่นๆ

ถ่ายเทออกมา

และท่านจึงมีการช่วยเหลือ  ช่วยให้สามารถที่จะออกจากวัฏสงสาร  ขึ้นสู่สภาวธรรม

แห่งพระนิพพาน– เพื่อไม่เป็นทุกข์ดังที่ท่านนั้นเป็น

— หมายถึงเป็นสุขอย่างที่ท่านนั้นเป็นอยู่…

 

ต่อไป ธรรมในประการที่ 6 –องค์บรมบิดา ท่านจึงได้สร้างดวงจิตบางกลุ่มขึ้นมา

– ด้วยพลังบารมีของท่าน

ซึ่งเป็นการอธิษฐานพลังบารมีของท่าน  ไปคลุมกับดวงจิตบางกลุ่ม

ที่สามารถมีพลังพิเศษเหนืออื่นจิตอื่น

— เพื่อให้เป็นกลุ่มจิต ที่จะนำพาดวงจิตทั้งหลาย.. ออกจากวัฏสงสาร

คือ ดวงจิตขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย..

 

ฉะนั้นดวงจิตทั้งหลายเหล่านั้น.. ถึงแม้ว่าก่อเกิดขึ้นมาด้วยธรรมชาติ

แต่ท่านก็สร้างความแข็งแกร่งให้ – ด้วยพลังจากองค์บรมบิดาท่าน

เพื่อฉุดช่วยดวงจิตทั้งหลาย.. ให้พ้นจากความทุกข์

 

และกาลเวลาในการเวียนว่ายตายเกิดของดวงจิตทั้งหลาย.. ในวัฏสงสารนั้น

ก็ผ่านมายาวนานมากแล้ว  จนไม่อาจนับเวลาได้เลย

 

จนท่านนั้น.. ได้คิดค้นวิธีที่จะช่วยเหลือดวงจิตทั้งหลาย – ออกจากทุกข์ได้

— จึงได้สร้างองค์พระพุทธเจ้า ตั้งแต่องค์ปฐมบรมบิดาขึ้นมา

ด้วยการส่งพลังของท่านหุ้มห่อดวงจิตดวงนั้น ++

 

และได้บำเพ็ญบารมียาวนานจนครบ จนเต็มบารมีที่ท่านนั้นบำเพ็ญ

— จึงได้ตรัสรู้ธรรมในโลก  เป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรก

ที่สามารถเข้าใจในอริยสัจ 4

ยกระดับจิต ทรงอารมณ์พรหมวิหาร 4

… และสามารถเข้าสู่พระนิพพานได้

 

รวมถึงยังเผยแผ่ธรรมคำสอน ชี้ทางบอกทางให้จิตดวงอื่นได้รู้แจ้งตามได้ด้วย

– เป็นพระองค์แรก *

 

นับตั้งแต่ตอนนั้นมา  ก็มีผู้ที่สามารถเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และตรัสรู้เข้าสู่

พระนิพพานแล้ว 1,896 พระองค์

 

และจะยังคงมีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเรื่อยๆ จนถึง 1 ล้านพระองค์

เพื่อการฉุดช่วยดวงจิตทั้งหลาย..ในวัฏสงสารนี้

… เช่นนี้ละพระพุทธเจ้าน้อยเอย

 

ต่อไป ธรรมในประการที่ 7

สภาวธรรมการอยู่ในแดนพระนิพพานขององค์บรมบิดา

องค์บรมบิดาท่านเป็นผู้ที่ตั้งอยู่ก็ได้ -มีอยู่ก็ได้

ไม่ตั้งอยู่ – ไม่มีอยู่ก็ได้

คือรวมกาย ปรากฏพระวรกายขึ้นก็ได้

หายเข้าสู่ความว่าง ความไม่มี เข้าสู่อากาศธาตุก็ได้

 

มีความเที่ยงแท้ของดวงจิต  คือ ไม่มีการแตกดับเลย

และไม่มีอะไรเจือปน คือกิเลสตัณหาใดๆ  +

จิตของท่าน..ไม่เกิด ไม่ตาย

ท่านทรงอารมณ์พรหมวิหาร 4 เพื่อฉุดช่วยดวงจิตทั้งหลาย..ในวัฏฏะทุกข์นี้

และทรงประทับสูงสุด บนแดนพระนิพพาน ชั้น 9

 

ท่านทรงเมตตาชี้ทางบอกทาง ฉุดช่วย– ด้วยการให้องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่ละพระองค์ได้ฉุดช่วยดวงจิตทั้งหลาย.. ให้พ้นทุกข์

จนดำเนินมาถึงวันนี้

คือ ยุคแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่ 1,896

ซึ่งเป็นองค์ปัจจุบัน คือ องค์พระสมณโคดม บรมครู

 

และในยุคนี้ ก็คือ ยุคที่ลูกนั้นได้มาในยุคกึ่งพุทธกาล ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระองค์ปัจจุบันนี้ — เพื่อฉุดช่วยดวงจิตทั้งหลาย

 

องค์บรมบิดาจึงเมตตาให้ลูกนั้นได้เปิดโลกธาตุทั้งหมด

ให้ดวงจิตทั้งหลาย.. ได้เข้าใจระบบกลไกของ

โลกธาตุ วัฏสงสาร

โลกธาตุทั้ง 7 จักรวาล

— เพื่อกลับคืนสู่สภาวะแห่งความสุขที่เที่ยงแท้ คือ แดนพระนิพพาน ++

… เช่นนี้ละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย

 

+ +

พระพุทธเจ้าน้อย ::  สาธุ พระพุทธเจ้าค่ะ

กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์  ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง พระพุทธเจ้าค่ะ

 

ลูก เมื่อได้สดับฟังธรรมนี้แล้ว  ลูกก็พอจะเข้าใจแล้ว ว่า..

การก่อเกิดองค์บรมบิดา  และการก่อเกิดโลก วัฏสงสาร

รวมถึงก่อเกิดสภาวธรรมต่างๆในวัฏสงสาร.. เป็นเช่นไร

 

และสภาวธรรมขององค์บรมบิดา ที่อยู่ในแดนพระนิพพาน

หรือความเมตตา ที่มีต่อดวงจิตทั้งหลาย

มีการเมตตาฉุดช่วยดวงจิตทั้งหลาย

–ด้วยการส่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายลงมาสู่โลก เพื่อที่จะตรัสรู้

และหาออกให้ดวงจิตทั้งหลาย.. เพื่อไปสู่พระนิพพาน..

 

… ลูกพอจะเข้าใจ เช่นนี้ อย่างนี้แล้วพระพุทธเจ้าค่ะ

 

กราบของพระคุณพระพุทธองค์ในความเมตตานะเจ้าคะ…

 

สาธุ