การจะเอาชนะในเกมชีวิต

ธรรมะธรรมจักรกึ่งพุทธกาล   วันที่  14เมษายน  2565

บทที่ 89 **การจะเอาชนะในเกมชีวิต**

+ +

 

ในเช้าของวันที่14 เมษายน  พ.ศ. 2565     ณ มหาวิชชาลัยธรรมิกราช

เมื่อท่านพระพุทธเจ้าน้อยได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่าน เพื่อเฝ้าฟังธรรมแล้ว  จึงได้นอบน้อมเฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า…

 

“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..

วันนี้ ลูกปรารถนาที่จะต่อยอดการเรียนรู้เกมชีวิต/ การออกจากเกมชีวิต – ตามคำสอนของ

องค์พระพุทธเจ้า

เพื่อน้อมไปประพฤติปฏิบัติ ฝึกฝน  ตามคำสอนของพระองค์

เพื่อลูกทั้งหลาย.. จะได้เป็นผู้ชนะในเกม พระพุทธเจ้าค่ะ

 

ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตา แสดงธรรมนั้นให้ลูกได้ฟังด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ”

– – – –

 

พระพุทธองค์ ::   เอาละนะ พระพุทธเจ้าน้อยเอย..ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วละ ลูก

จงทำจิตให้สงบ  ทำจิตให้สบาย

ให้จิตตั้งมั่น สว่างไสวอยู่ที่ศูนย์กลางกาย

ชาร์จพลัง เติมพลังให้กับจิต

 

ให้จิตนั้นมีพลังมากพอที่จะพิจารณาธรรมทั้งหลายเหล่านี้ที่จะได้ฟัง

เพื่อที่ลูกทั้งหลายนั้น.. จะได้มีพลังของจิตมากพอที่จะเข้าใจธรรมเหล่านี้

เพราะ..

* ธรรมทั้งหลายเหล่านี้.. ก็เป็นธรรมที่ละเอียด

* ธรรมทั้งหลายเหล่านี้.. ก็เป็นธรรมที่ต้องใช้กำลังของจิตพิจารณาตามไปด้วย  จึงจะเข้าใจ

 

การที่ลูกทั้งหลายนั้น.. ได้เรียนรู้กับบททดสอบ สิ่งทดสอบ

ที่ลูกทั้งหลายจะต้องทำแบบทดสอบเหล่านั้นให้ผ่านแล้ว

 

แน่นอนละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย..ว่า

จะต้องเรียนรู้คำสอน เรื่องราวของบุคคลผู้ที่พาให้ลูกทั้งหลาย

ออกจากเกมนี้ไปสู่แดนพระนิพพาน

– จบการเล่มเกมในวัฏสงสาร อย่างถาวร –

 

ลูกทั้งหลาย.. จึงจำเป็นที่จะต้องต่อยอดความรู้ของลูก

ด้วยการรู้และทำความเข้าใจถึงคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เพื่อจะได้รู้ และเข้าใจกติกาของชัยชนะ

 

เมื่อเรารู้ เข้าใจกติกาของวัฏสงสารแล้ว — เราจำเป็นที่จะต้องรู้

ที่จะต้องเข้าใจถึงกติกาของการที่ถ้าหากว่าเราจะประพฤติปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์นั้น..

— เราจะทำแบบไหน ?

 

และย่อมแน่นอนว่า..

การที่เราต้องการชัยชนะ – เราต้องเรียนรู้จากผู้ชนะแล้ว

คือ  องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

ฉะนั้นลูกทั้งหลายเอ๋ย..  องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ผู้ชนะในเกม

คือ ผู้สั่งสมบำเพ็ญบารมีมา  เพื่อวางแนวทาง ลู่ทาง หนทางแห่งการปฏิบัติ

เอาไว้ให้ลูกทั้งหลาย.. ได้ดำเนินตาม

 

ฉะนั้น..  เมื่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้เป็นองค์พระพุทธเจ้าแล้ว

จึงได้สอนสั่งธรรม  และพระธรรมเหล่านั้นละลูก

ก็คือ การวางแนวทาง หนทางให้ลูกทั้งหลาย..ได้ดำเนิน ประพฤติปฏิบัติตาม

 

เมื่อลูกได้เข้าใจแล้วว่า..คำสอนขององค์พระพุทธเจ้าสอนอะไรบ้าง..

ลูกก็จะเข้าใจว่า..

วิธีของการออกจากเกม  ต้องทำแบบไหน  ?

การที่เราเป็นผู้ชนะในเกมได้  เราต้องทำยังไง ?

 

ฉะนั้นพระพุทธเจ้าน้อยเอย..จงเรียนรู้ เริ่มต้นตั้งแต่

ธรรมประการที่ 1— อย่างนี้เถิดว่า..

 

ให้ลูกทั้งหลาย.. เห็นประโยชน์ของการออกจากวัฏสงสาร

จงพิจารณาเห็นโทษของการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร

หรือว่า  ประโยชน์ของการเป็นผู้ชนะในเกม

 

ประโยชน์ของการที่ลูกทั้งหลายนั้น จะออกจากทุกข์ คือวัฏสงสารนี้ไป

— เพื่อเข้าสู่แดนพระนิพพานนั้น

จะต้องพิจารณาถึงโทษของการที่ลูกทั้งหลาย..

จะต้องเวียนวนเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร

เล่มเกมชีวิตนี้อยู่ร่ำไป..

 

จนสุดท้าย.. ก็แค่ไม่เหลืออะไรสักอย่าง..เพราะทุกอย่างเป็นแค่สมมุติ

สิ่งที่ลูกทั้งหลายได้ ก็คือ ทุกข์ฟรีเท่านั้นละ..ลูกเอ๋ย  !

 

พระพุทธเจ้าน้อยเอยลูกทั้งหลาย.. ควรพิจารณาเห็นประโยชน์ของความพ้นทุกข์

อย่างถาวร อย่างนี้ว่า..

 

ถ้าหากว่าเรานี้.. บำเพ็ญปฏิบัติจนถึงซึ่งความพ้นทุกข์  เป็นผู้ชนะในเกม

ดวงจิตของเราจะเป็นอิสระอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง

— จะหายทุกข์อย่างถาวร – เพราะปราศจากกิเลสตัณหา คือ เชื้อแห่งทุกข์  ++

 

เรานี้.. จะ

ไม่ต้องมีกรรม  หรือว่าไม่ต้องมีอะไรอีกต่อไป

ไม่มีทั้งกรรมดี – กรรมไม่ดี

ไม่มีอะไรต้องเป็นอะไร

ไม่มีอะไรต้องทำอะไรอีกต่อไป

 

เรานี้.. ก็จะอยู่อำนาจแห่งกรรม

ไม่มีกายนี้ให้จะต้องดูแลรักษา  ต้องดำเนินไป

ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตายพลัดพรากจากอีกต่อไป

อยู่เหนืออำนาจแห่งกาย

 

ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่าง – กลับคืนสู่สภาวะแห่งธรรมชาติของสิ่งที่เขาเป็น

คืนความอิสระให้กับจิตของตน

 

ดีกว่าการปล่อยให้จิต ให้กาย  ให้กรรม ให้กิเลส มาชุมนุมประชุมกันไป

แล้วก็ร้อนรุ่มกันไป  เวียนว่ายตายเกิดกันไป!!

 

จงพิจารณาเห็นโทษว่า..

การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้นั้น..

– เป็นทาสแห่งกิเลสตัณหา

– เป็นทาสของกรรม

และเป็นบุคคลผู้ที่ทุกข์ไปอย่างยาวนาน

— ทุกข์ไปนานๆ อย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้!!

 

และทุกข์ทั้งหลายเหล่านั้น  การดิ้นรนขวนขวายเหล่านั้น

… สุดท้ายก็ไม่มีอะไร

 

ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น

ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป

สุดท้ายเวียนว่ายตายเกิด เป็นล้านชาติ — ก็เหลือเพียงแค่ความว่างเปล่า

ไม่มีอะไรเป็นเรา  เป็นของเรา

 

พิจารณาเพียงว่า..  แม้แต่ชาติปัจจุบันนี้

เราเกิดมา ตั้งใจเรียนหนังสือ  ตั้งใจทำงานหาเงิน

 

สมมุติว่า.. ถ้าหากเราประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิต

ได้ทุกอย่างตามที่เราตั้งใจ และต้องการ

ในทางโลก  ในแบบของโลก

 

หากว่าลมหายใจของเรา หยุดหายใจเมื่อไหร่  กายสังขารนี้แตกดับสลายเมื่อไหร่

สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น.. ที่เราว่า.. สำเร็จแล้ว  ได้แล้ว  มีแล้ว

… ก็ดับสลายไปพร้อมกับการตายเท่านั้นละลูก..

 

แล้วไปเกิดในชาติใหม่ — ก็ต้องไปเริ่มใหม่

เริ่มเรียนรู้ใหม่

เริ่มหางาน หาเงิน

เริ่มดิ้นรนขวนขวายสร้างชีวิต  สร้างความสำเร็จของชีวิตใหม่

 

แล้วสุดท้าย.. ก็ต้องทิ้งไป

ทิ้งไว้บนโลกใบนี้ – เหมือนกันทุกภพทุกชาติ

หาที่สิ้นสุดมิได้เลย.. ลูกเอ๋ย

 

ฉะนั้น.. ทุกข์ในแบบวัฏสงสาร / สุขในแบบวัฏสงสาร

จึงเป็นเพียงแค่มายา

เป็นสิ่งสมมุติเท่านั้นละลูก

 

ฉะนั้น..  ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น  ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป

จึงไม่มีประโยชน์อะไร.. ที่จะต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้

 

จะต้องเป็นผู้มานั่งเล่นเกมชีวิต – โดยเปล่าประโยชน์

ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับตนเลย

— นอกจากทุกข์เท่านั้น ++

 

เช่นนี้ละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย..จงพากันทำตนให้แจ้ง

เห็นคุณในการเข้าสู่แดนนิพพาน

เห็นโทษในการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร

 

ต่อไป ธรรมในประการที่ 2

และลูกนั้น จงเริ่มฝึกฝนประพฤติปฏิบัติ

เรียนรู้ ทำความเข้าใจ- ตามคำสอนแนวทางการปฏิบัติของ

องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เมื่อลูกเห็นตามความเป็นจริงแล้วว่า..

 

การอยู่ในวัฏสงสาร – เป็นเช่นไร

การออกจากวัฏสงสาร – เป็นเช่นไร

แสดงว่า ลูกเห็นทุกข์ภัยในวัฏสงสาร

เห็นความสุขที่แท้จริง ในแดนพระนิพพานแล้ว

 

ลูกจงตั้งใจ ตั้งมั่น ที่จะเรียนรู้ศึกษาถึงเรื่องแม่ธรรม ทั้ง 5 ประการ

 

คือ จงรู้ จงเข้าใจว่า..

องค์พระศาสดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า- มีจุดมุ่งหมาย..

เพื่อมุ่งเข้าสู่พระนิพพาน

และพระองค์ก็ตรัสรู้ธรรม ด้วยแม่ธรรม 5 ประการ

 

ท่านได้สอนให้พระอรหันต์ทั้งหลาย..

ดำเนินอยู่บนเส้นทาง ของแม่ธรรม 5 ประการ

 

และในที่สุด องค์พระอรหันต์เหล่านั้น..  ก็พ้นทุกข์ ถึงนิพพานตามพระองค์ได้

— เป็นผู้ชนะในเกมชีวิตนี้

— เป็นผู้ที่ออกจากวัฏสงสารได้  เข้าสู่พระนิพพานแล้วอย่างถาวร

 

ฉะนั้น..แม่ธรรมทั้ง 5 ประการนั้น  เราก็เลยจะต้องเข้าใจด้วยว่า..

การประพฤติปฏิบัติฝึกฝนตน

— ควรเป็นไปเพื่อการละความลุ่มหลง คือ กามคุณทั้ง 5

แม้แต่ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสต่างๆ

 

 

ลูกทั้งหลาย..  จะต้องประพฤติปฏิบัติ  มีจุดมุ่งหมายในการลดละสิ่งนี้

คือ ความลุ่มหลงในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส

จึงจะเป็นการวางจุดมุ่งหมาย.. ที่ถูกต้องในการเป็นนักบวช  / ในการประพฤติปฏิบัติ

 

ต่อไป แม่ธรรมประการที่ 2

ลูกทั้งหลาย.. จะต้องรู้ จะต้องทำความเข้าใจว่า

การประพฤติปฏิบัติ– ไม่ทรมานตน ให้ก่อให้เกิดการเบียดเบียนตน

เพราะองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ฝึกฝนพระองค์เอง

ทรมานพระองค์เอง อย่างถึงที่สุด

… อย่างไม่มีใครทำได้มากกว่านั้น..

 

— แต่ก็ไม่เห็นหนทาง  จนพระองค์ท่านถอยกลับมายืนอยู่บนทางสายกลาง *

ประพฤติปฏิบัติแบบไม่ทรมานตน

 

พระองค์จึงค้นพบความสุขที่แท้จริงเช่นนั้น

การทรมานตน ไม่ใช่หนทางแห่งความหลุดพ้น — ควรละเสีย

 

ทำความเข้าใจถึง แม่ธรรมในประการที่ 3 –อย่างนี้ว่า

การที่ลูกทั้งหลาย จะฝึกฝนปฏิบัติ — ควรดำเนินอยู่บนทางสายกลาง

 

ประพฤติปฏิบัติตามมรรค 8 คือ

การมีความเห็นชอบ มีความคิดชอบ  มีคำพูดชอบ มีความประพฤติชอบ

มีการประกอบอาชีพชอบ  มีความเพียรชอบ  มีสติชอบ  และมีสมาธิชอบ

— หรือย่อลงมา ก็คือ ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา

 

ลูกทั้งหลาย.. ควรที่จะดำเนินอยู่บนเส้นทางแห่งมรรค 8หรือ ศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา

ด้วยทางสายกลาง

 

เข้าใจในแม่ธรรมประการที่ 4 — ว่า

ลูกทั้งหลายนั้น.. ควรทำให้แจ้งในเรื่องของอริยสัจ 4 คือ ความจริง 4 ประการคือ

– การเห็นทุกข์ การรู้ทุกข์

– การเห็นเหตุแห่งทุกข์รู้เหตุแห่งทุกข์

– การเห็นที่ที่พ้นทุกข์  รู้ที่ที่พ้นทุกข์

– การเห็นหนทางที่จะประพฤติปฏิบัติ ฝึกฝนไป – เพื่อพ้นทุกข์

และการทำให้เข้าถึง รู้ในหนทางแห่งการประพฤติปฏิบัติ – เพื่อมุ่งสู่ความพ้นทุกข์

 

เช่นนี้ละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย..

อริยสัจ 4  คือ ความจริง 4 ประการ – ที่ลูกทั้งหลายควรทำให้แจ้ง +

 

แม่ธรรมในประการที่ 5 –ก็คือ

ร่างกายของนี่ละลูก  ควรทำให้แจ้งในรูป ในเวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ

ควรพิจารณากายของเรานี้  แยกธาตุขันธ์ของกายนี้ออกจากกัน

โดยการรู้รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ  อย่างแจ่มแจ้ง เข้าใจ

รู้ว่า.. ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเราเลย +

 

สุดท้าย.. เขาก็ต้องแตกดับไป

เห็นระบบการทำงานของขันธ์ 5

… เช่นนี้ละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย

 

เมื่อลูกนั้น ทำความเข้าใจ  รู้แจ้งถึงแม่ธรรมทั้ง 5 ประการ ลูกจะเห็นได้ว่า..

องค์พระพุทธเจ้า สอนให้เห็นจุดมุ่งหมายหลัก คือ

การปฏิบัติเพื่อลดละกิเลส

การปฏิบัติ ไม่ควรทรมานตน

การปฏิบัติ ควรดำเนินอยู่บนเส้นทางสายกลาง คือ มรรค 8

การพิจารณาถึงอริยสัจ 4  ควรทำให้แจ้งในความจริง 4 ประการนี้

 

การที่ลูกทั้งหลายปฏิบัติแล้ว  ควรที่จะรู้จะเห็นตัวตนที่แท้จริง

— โดยเริ่มต้นจากการเห็นกาย ตามสภาวะธรรมชาติแห่งกาย

ด้วยขันธ์ 5 กอง คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ

 

เช่นนี้ละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย..เมื่อลูกทั้งหลาย เข้าใจแม่ธรรม 5 ประการแล้ว

ลูกก็เข้าใจรากฐานของพระพุทธศาสนาแล้ว

 

ต่อไป ธรรมในประการที่ 3

ลูกทั้งหลาย.. จงประพฤติปฏิบัติอยู่บนเส้นทางแห่งมรรค 8 คือ

ฝึกฝนตนเองในกรอบของการรักษาศีล

เริ่มตั้งแต่ ศีล 5 ขยับขึ้นศีล 8 บ้าง

 

หากเราได้ออกบวช เป็นพระภิกษุสงฆ์  เป็นสามเณร

เป็นผู้ที่บำเพ็ญบารมีอยู่ในกรอบของศีลใด ระดับใด — เราก็รักษาศีลระดับนั้นไป

 

แล้วควรฝึกฝนตน อยู่ในสมาธิ  คือ ทำให้ตนนั้น มีสมาธิที่ตั้งมั่น

ฝึกฝนตนให้ก่อเกิดความสงบ

แล้วพิจารณาธรรม ฟังธรรมให้เข้าใจ

ฝึกฝนปัญญา ให้ก่อเกิด

ดำเนินชีวิตอยู่บนเส้นทางแห่ง ศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา

— ฝึกฝนตนเช่นนี้ อย่างนี้ คือ การดำเนินอยู่บนเส้นทางแห่ง มรรค 8

 

ฝึกฝนตนด้วย สติปัฏฐาน 4  คือ การดูกาย รู้กาย รู้เวทนา รู้จิต รู้ธรรม

ฝึกฝน อบรมตน ปฏิบัติไปตามเส้นทางนี้..

 

จนกว่าลูกนั้นจะทำศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา

จะพิจารณาสติปัฏฐาน 4  จนก่อเกิดแจ่มแจ้งในลูกแล้ว

— ก็จะทำให้ลูกนั้น มีธรรมค้ำหนุนให้ลูกสามารถเข้าถึงความพ้นทุกข์ได้

 

ด้วยการที่ลูกนั้นจะมีธรรมค้ำหนุน 9 ประการ

ที่จะเป็นสิ่งค้ำหนุน ให้ลูกสามารถที่จะบรรลุธรรม – เกิดขึ้นในตัวของลูกด้วย

ด้วยบารมี 10 ทัศ

ด้วยมรรค 8

ด้วยธรรมบัญญัติ 10 ประการ

ด้วยอินทรีย์ 5  และพละ 5

ด้วยโพชฌงค์ 7

ด้วยอิทธิบาท 4

ด้วยสัมมัปปธาน 4  คือ เพียรใหญ่ 4นั้น

ด้วยอริยสัจ 4 และสติปัฏฐาน 4

 

รู้ตัวรู้ตนว่า เราคือใคร

— เราคือจิต คือกิเลส คือกรรม และกาย มาประชุมชุมนุมกันอยู่

มาเป็นเรา เป็นตัวตนของเรา —

 

เช่นนี้ละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย..

เมื่อลูกทั้งหลายฝึกฝนอยู่บนเส้นทางแห่งมรรค 8  จนทำให้สามารถทรงสมาธิ ทรงปัญญา

อยู่ในกรอบของศีล ที่ตั้งมั่น  ให้ลูกทั้งหลายนั้น เข้าใจในธรรม

จนลูกนั้น สามารถเกิดธรรมขึ้นมา ทั้ง 9 ประการ ค้ำหนุนลูก

ในการที่จะบรรลุธรรมแล้วนั้น.. ย่อมจะเป็นผลแก่ลูกมาก

 

ต่อไป ธรรมในประการที่ 4

ลูกทั้งหลายนั้น.. จงฝึกต่อยอดไป ด้วยการเป็นผู้ดูจิต เห็นจิต  รู้จิตอยู่ตลอดเวลา

แยกจิตออกจากกาย  ออกจากสภาวะกรรม สภาวะกิเลสตัณหา – ได้อย่างชัดเจน

แห่งจิตที่ตั้งมั่นรู้ตื่น

 

ฝึกฝนตน..

จนเห็นกาย  คือ จิตเห็นกาย กายเห็นกาย

เห็นสภาวธรรมแห่งกาย  การทำงานของกาย

เห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ

เห็นอาการ 32

เห็นธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ  แห่งสภาวะแห่งกายนี้ อย่างชัดเจน

เห็นเขาเข้าทำงาน ตามเหตุ  ตามหน้าที่ของเขา

 

แล้วลูกนั้น ก็เห็นกรรมในกาลก่อน – ที่ส่งผลมา ทั้งกรรมดี  กรรมไม่ดี

เห็นกรรมที่เรากำลังจะทำอยู่  รู้ว่า เราจะทำอะไร เพื่ออะไร  เพราะอะไร

เห็นกรรมในอดีตที่วนมา

เห็นกรรมในปัจจุบันที่จะทำไป  เพื่อที่จะดำเนินไปสู่อนาคตข้างหน้าโน้น – ตามกรรมที่ดีนั้น

เห็นกิเลสตัณหา ที่กระเพื่อมอยู่  กระทบเข้ามาสู่จิตใจของตน

เห็นรู้เท่าทันกิเลสตัณหาคือความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ

/ ความอยาก และความไม่อยาก เหล่านั้น…

 

เห็นอารมณ์สภาวธรรมของคลื่นกิเลสตัณหาเหล่านี้ ว่า..มีอยู่ในเรา มีมากมีน้อย

ไม่มีอยู่ในเรา — แต่กำลังกระทบเข้ามา  เราต้านได้มากได้น้อย

เราสามารถต้านทานต่ออำนาจพลังแห่งกิเลสตัณหานั้น.. ได้มากได้น้อยเพียงใด

ได้แล้วหรือเปล่า ?

… เช่นนี้ เป็นต้น ลูก

 

ลูกทั้งหลาย.. จะเห็นจิต  เห็นกาย  เห็นกรรม เห็นกิเลสตัณหา.. อย่างชัดเจน

 

ต่อไป ธรรมในประการที่ 5

ลูกทั้งหลาย.. ก็จะเห็นสุขที่แท้จริง – ที่เกิดขึ้นภายในดวงจิตของลูก

ด้วยเห็นจิตที่ตั้งมั่น สงบระงับดีกล้ว

รู้ตื่น เข้าใจทุกอย่างแล้ว

– ไม่กระเพื่อมตาม

– ไม่ร้อนรุ่มตามสภาวะภายนอก

เห็นอารมณ์พระนิพพานที่เกิดขึ้น  ทรงอยู่ในดวงจิตของลูก

 

ต่อไป ธรรมในประการที่ 6

ลูกทั้งหลาย.. จะเห็นทุกข์ภัยในวัฏสงสาร อย่างแจ่มแจ้ง  ดุจดังว่า..บุคคลผู้ยืนอยู่

บนฝั่ง  มองดูคลื่นน้ำในทะเล

 

ลูกทั้งหลาย.. จะเป็นผู้ยืนอยู่นอกโลก นอกจักรวาล วัฏสงสาร

มองกลับมา.. เห็นทุกข์ภัยในวัฏสงสาร เกิดขึ้น ชัดเจนแก่จิตของลูก

… เช่นนี้ละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย

 

ต่อไป ธรรมในประการที่ 7

ลูกทั้งหลายนั้น.. จะสามารถเป็นบุคคลผู้ที่เข้าถึงความพ้นทุกข์ ได้อย่างแท้จริง

คือ เป็น

ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

ผู้ถึงพระนิพพาน

ผู้ชนะในเกมชีวิต

— จบการเล่นเกมในวัฏสงสาร อย่างถาวร ++

 

และลูกก็จะถึงซึ่งเส้นชัย คือ เป้าหมาย ที่องค์พระพุทธเจ้าทรงชี้ทางบอกทางไว้ให้

คือ จุดมุ่งหมายหลักของการบำเพ็ญปฏิบัติ

ที่ลูกทั้งหลายนั้น ตั้งมั่น ตั้งใจที่จะฝึกฝนตามคำสอนขององค์พระพุทธเจ้า

— ลูกจะเป็นผู้มีชัยชนะ อย่างถาวร —

 

เช่นนี้ละพระพุทธเจ้าน้อยเอย..

ลูกพอจะเข้าใจบ้างแล้วสินะ เมื่อได้สดับฟังธรรมเหล่านี้..

 

คงพอเข้าใจในหลักคำสอนขององค์พระพุทธเจ้า

และคงจะสามารถน้อมไปประพฤติปฏิบัติตาม

… เพื่อที่จะได้อาศัยเอาหลักธรรมทั้งหลายเหล่านี้

*  เป็นเครื่องช่วย

*  เป็นสิ่งที่จะทำให้ลูกนั้น.. สามารถที่จะเป็นผู้ชนะในเกม ++

 

+ +

พระพุทธเจ้าน้อย ::  สาธุ พระพุทธเจ้าค่ะ

กราบขอบพระคุณในความเมตตาของพระพุทธองค์ พระพุทธเจ้าค่ะ

 

ลูก เมื่อได้สดับฟังธรรมอธิบายจากพระพุทธองค์แล้ว ลูกพอจะเรียนรู้ เข้าใจว่า..

การที่เราจะเป็นผู้ชนะในเกมชีวิตนี้ได้ — เราต้องเรียนรู้ตามเส้นทางของบุคคลผู้มีชัยชนะแล้ว

คือองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

ฉะนั้น..  การเรียนรู้ ทำความเข้าใจ ถึงหลักการปฏิบัติ ที่พระองค์ทรงใช้หลักสูตร

ใช้วิชาในการปฏิบัติเหล่านี้ ในการเป็นผู้ชนะในวัฏสงสาร

 

ควรที่จะเรียนรู้ศึกษา  ทำความเข้าใจให้กระจ่างแจ้ง

โดยเริ่มจากการที่เราจะต้องรู้ถึงประโยชน์ของความพ้นทุกข์

รู้ถึงโทษของการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้

 

เราจะต้องเข้าใจถึง แม่ธรรม 5 ประการ ว่า

* การปฏิบัติเพื่อละกิเลส

* การปฏิบัติโดยไม่ทรมานตน

* การปฏิบัติ  ควรปฏิบัติอยู่บนทางสายกลาง คือ การดำเนินอยู่บนเส้นทางแห่งมรรค 8

* การปฏิบัติ  ควรฝึกฝนให้แจ้งในอริยสัจ 4 คือ ความจริง 4 ประการ

* การที่เรานั้นปฏิบัติ  ควรรู้แจ้งในกาย — ด้วยการแยกกายนี้ออกมาเป็น 5 กอง

คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ

 

สิ่งเหล่านี้ คือ แม่ธรรมทั้ง 5 ประการนี้  ควรทำให้แจ้ง เพื่อเข้าใจจุดมุ่งหมายของพระพุทธศาสนา

เพื่อเข้าใจตามรากฐานของพระพุทธศาสนา

เข้าใจแจ่มแจ้งในธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

และควรที่จะฝึกฝนตน  ปฏิบัติอยู่บนเส้นทางแห่งมรรค 8

จนก่อเกิดการรู้ กาย เวทนา จิต ธรรม

ฝึกฝนประพฤติปฏิบัติตาม  จนก่อเกิดธรรมค้ำหนุนการบรรลุธรรมขึ้นอีก 9 ประการ

 

แล้วเราก็จะเป็นผู้บำเพ็ญบารมี ที่แข็งแกร่ง

จนสามารถเข้าสู่ธรรมประการที่ 4

คือการเห็นจิต เห็นกาย เห็นกรรม และเห็นกิเลสอย่างชัดเจน

และแบ่งแยกได้อย่างถูกต้อง

 

ก็จะทำให้เราเข้าสู่ธรรมประการที่ 5 -เป็นผู้ที่สุขอย่างแท้จริง

เห็นความสุขที่เที่ยงแท้  ที่เกิดขึ้นภายใน

เห็นพระนิพพาน  อารมณ์พระนิพพานก่อเกิดขึ้นแก่เรา

เราก็จะเป็นผู้ที่เห็นทุกข์ภัยในวัฏสงสาร ได้อย่างชัดเจน

 

ดุจดังผู้ที่ยืนอยู่บนฝั่ง มองดูเกลียวคลื่นในทะเลทุกข์

ซึ่งเรานี้ ก็จะเป็นผู้อยู่นอกวัฏสงสาร  มองกลับมาในวัฏสงสาร

 

จนขึ้นสู่ธรรมประการที่ 7 –  เราสามารถเป็นผู้พ้นทุกข์ได้ อย่างแท้จริง

เป็นผู้ชนะในเกมชีวิต  ผู้จบเกมชีวิต

— ไม่กลับมาเล่นเกมในวัฏสงสารนี้อีกต่อไป..

 

… ลูกพอจะเข้าใจเช่นนี้แล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ

 

ลูกจะน้อมไปประพฤติปฏิบัติฝึกฝนให้เข้าใจในธรรมประการต่างๆ

เพื่อรู้จุดมุ่งหมายหลักของพระพุทธศาสนา  ว่าต้องการทำให้ตนเข้าถึงการพ้นทุกข์

จากวัฏสงสารอย่างถาวร  เข้าสู่พระนิพพาน

เป็นกลุ่มดวงจิต ผู้หาความสุขที่แท้จริงเจอ

เป็นกลุ่มดวงจิต ที่สามารถที่จะออกจากทุกข์ได้ อย่างแท้จริง ตามรอยของ

– องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าค่ะ

 

พระพุทธองค์ ::   ดีแล้วละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย..

ถ้าอย่างนั้น ลูกทั้งหลาย.. ก็พอจะเข้าใจคำสอนของผู้ชนะในเกม

คือ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว

 

พอจะเข้าใจแนวทาง ลู่ทาง  แบบแผน แผนที่ที่วางเอาไว้ให้แล้ว

ให้ลูกทั้งหลาย.. นำไปใช้ เพื่อชนะในเกมชีวิตหน้า

 

ลูกทั้งหลาย.. ก็จงตั้งใจประพฤติปฏิบัติตาม

และฝึกฝนตนให้เห็นตามในกาลต่อไปเถิด

และจงตั้งใจทำหน้าที่ของแต่ละบุคคลให้ดี

… เช่นนี้ละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย

 

 

+ +

พระพุทธเจ้าน้อย ::  สาธุ พระพุทธเจ้าค่ะ

กราบขอบพระคุณในความเมตตาของพระพุทธองค์ นะเจ้าคะ

วันนี้ ลูกต้องกราบขอลาก่อน   เอาไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ พระพุทธเจ้าค่ะ…

 

สาธุ