การยอมรับสิ่งใหม่ในศาสนา

พุทธธรรมแห่งความเมตตา   วันที่  20  สิงหาคม  2564

บทที่ 104  **การยอมรับสิ่งใหม่ในศาสนา**

+ +

 

ในเช้าของวันที่  20 สิงหาคม พ.ศ. 2564        ณ สวนธรรมิกราช

เมื่อท่านพระยาธรรมิกราช ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่าน เพื่อเฝ้าฟังธรรมแล้วนั้น  จึงได้นอบน้อมเฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า…

 

“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..

วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าทูลถามถึง ข้อธรรม บทที่ 104 น่ะเจ้าค่ะ

 

คือว่าลูกเกิดความสงสัยเช่นนี้ อย่างนี้ว่า..

บัดนี้ องค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์ได้ก่อเกิดขึ้นแล้วในกึ่งพุทธกาล

 

พระพุทธก็ก่อเกิดขึ้นในนามองค์แทนองค์พระพุทธเจ้า คือ องค์พระพุทธเจ้าน้อย

พระยาธรรมิกราช

พระธรรม ก็ก่อเกิดขึ้น ด้วยการสื่อธรรมตรงจากแดนพระนิพพาน จากองค์พระพุทธเจ้า

โดยผ่านลงมาที่กายของท่านแม่ชีกชพร – ซึ่งก็เป็นกายของสตรี

และองค์พระสงฆ์  ก่อเกิดขึ้นด้วยหนทางการประพฤติปฏิบัติ – ในหลักสูตรค้นหาตัวตน

แนวทางการปฏิบัติ ในสายปฏิบัติธรรมสัมมาสัมพุทธะ ปัจฉิมาสัมพุทธะ

 

ทีนี้ ลูกจึงเกิดความสงสัยอย่างนี้ว่า.. จะทำยังไงหรือเจ้าคะ ให้ผู้คนและดวงจิตทั้งหลาย..

สามารถยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่นี้.. เข้าสู่ตน และพ้นทุกข์ได้ น่ะเจ้าค่ะ

 

เพราะลูกเห็นว่า.. การที่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นใหม่นั้น..

เป็นเรื่องยากมากที่จะทำให้ดวงจิต และผู้คนยอมรับกันได้ น่ะเจ้าค่ะ

 

ลูกจึงจะขอถึงพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาเป็นที่พึ่ง แสดงธรรมการยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ให้ลูกได้ฟัง ได้พิจารณา  ทำความเข้าใจ เพื่อน้อมไปประพฤติปฏิบัติตาม

และเผยแผ่ให้ทุกคนได้ทำความเข้าใจด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ ”

– – – –

 

ดีแล้วละ พระยาธรรมเอ๋ย..ถ้าอย่างนั้น ให้ลูกทั้งหลาย จงทำจิตของตนให้นิ่งเฉย

วางเฉย.. ให้เกิดความเป็นกลางขึ้นมาเสียก่อนนะ

วางความเป็นตัวเป็นตน  วางความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เรารู้

ในสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ ทิ้งไปให้หมด

 

ให้เหลือเพียงแค่ดวงจิต ที่เบาสบาย

ว่างโล่ง โปร่ง สว่างไสว

ดุจดังดวงแก้ว ดวงธรรม

 

ให้ปัญญาอันรู้ตื่น รู้แจ้ง – ก่อเกิดขึ้นเสียก่อน.. ลูกทั้งหลายเอ๋ย

แล้วจึงค่อยใช้ปัญญาอันรู้ตื่นจากภายในของลูก ค่อยๆพิจารณาธรรมดังต่อไปนี้..

 

ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ในประการที่ 1 — นั้น

ให้ลูกทั้งหลายทำความเข้าใจ เช่นนี้ อย่างนี้ว่า..

 

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้.. ไม่ใช่สิ่งใหม่  ไม่ใช่อะไรที่เป็นเรื่องใหม่เลยลูก +

–แต่เป็นการฟื้นฟู และต่อยอดพระพุทธศาสนา.. ให้เจริญขึ้นอีกครั้งหนึ่ง *

เพื่อที่จะต่ออายุขัยแห่งพระพุทธศาสนา

ให้อยู่ยาวนานไป จนถึง 5000 ปีเท่านั้น

 

พระยาธรรมเอย..  หากลูกได้เข้าใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วนี้ คือ สิ่งใหม่

ลูกก็จะคิดว่ามันเป็นเรื่องใหม่ เป็นสิ่งใหม่

แล้วก็จะพากันปฏิเสธบ้าง  ยอมรับบ้าง

ทั้งที่การคิดเช่นนั้น เข้าใจเช่นนั้น.. ก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ถูกต้องเลย !!

— เพียงแต่ว่า ลูกทั้งหลาย.. ไม่รู้ตามความเป็นจริง เท่านั้น ++

 

พระยาธรรมเอย..  สิ่งที่ก่อเกิดขึ้นมา ขึ้นแล้ว ในวันนี้ ที่นี่

คือ การตรัสรู้ธรรมขององค์พระพุทธเจ้าน้อย

การก่อเกิดองค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์

องค์พระรัตนตรัยที่ก่อเกิดขึ้นนี้.. ก็ไม่ใช่การก่อเกิดศาสนา ขึ้นมาใหม่นี่ลูก

 

แต่เป็นการฟื้นฟู ต่อยอด ให้พระพุทธศาสนานั้น.. กลับมาเจริญรุ่งเรือง

เป็นกิจอันสำคัญแห่งองค์พระศาสดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

–ที่ทรงเมตตาแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย.. ผู้เวียนว่ายตายเกิดอยู่

 

ได้วางแบบแผน แผนงานที่จะส่งธรรมของพระพุทธองค์ลงสู่โลก

— กลับมาฟื้นฟูอีกครั้งหนึ่ง ในกึ่งพุทธกาลนี้เท่านั้น**

 

ฉะนั้น..

องค์พระพุทธก็คือ พระองค์เดิม

องค์พระธรรม ก็คือ พระธรรมเดิม

องค์พระสงฆ์ก็คือ พระสงฆ์เดิม

 

ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง  ไม่มีอะไรเป็นสิ่งใหม่

เพียงแต่ฟื้นฟูขึ้นมาเพื่อต่อยอดพระพุทธศาสนา

ให้สามารถสืบทอด.. จนกว่าจะสิ้นสุดอายุขัยของศาสนา

คือ ครบ 5000 ปี เท่านั้น  ++

 

พระยาธรรมเอย..  องค์พระพุทธเจ้า ที่บังเกิดขึ้นบนโลกนี้

ในนาม พระพุทธเจ้าน้อย

… ก็มาจากองค์พระพุทธเจ้าหลวง – องค์พระพุทธเจ้าสมณโคดม บรมครูเจ้านั่นละ

 

เพียงแต่ก่อเกิดด้วยพลังบารมีจากพระองค์

แล้วก็ก่อเกิดขึ้นมา- เป็นสภาวธรรมแทนพระองค์

คือ เป็นพระพุทธเจ้าน้อย

คือ เป็นสภาวธรรม ที่เกิดขึ้นแทนองค์พระพุทธ เท่านั้น *

 

แต่เบื้องหลังองค์พระพุทธเจ้าน้อย ก็คือ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าขับเคลื่อนอยู่

แล้วจะมีอะไรใหม่เล่า ลูก!

พระศาสดา ก็คือ พระองค์เดิม

 

ฉะนั้น ลูกเอ๋ย..  ไม่มีอะไรเป็นสิ่งใหม่

ก็คือ องค์พระพุทธ -องค์พระพุทธเจ้า พระสมณโคดม บรมครูเจ้าพระองค์เดิมนั่นละ

 

และองค์พระธรรม ก็แสดงธรรมมาจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์เดิม

ไม่ได้มีพระศาสดาองค์ใหม่  มาแสดงธรรม

ธรรมไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจากหลักธรรม จากธรรมที่องค์พระพุทธเจ้าได้แสดง

องค์พระพุทธเจ้า เป็นผู้แสดงธรรมเหล่านี้ ส่งลงมาสู่โลก – ด้วยพระองค์เอง

 

เพียงแต่พระธรรม..ก็จะมีการฟื้นฟู ต่อยอด

ฟื้นฟู ก็คือ ธรรมบางส่วนที่ละเอียด ที่หายไป

… ก็มีการฟื้นฟูให้ชัดเจนขึ้น

กาลเวลาผ่านไป 2000 กว่าปีแล้วนี่ลูก

 

ฉะนั้น..

อาจมีธรรมที่ละเอียด ที่สำคัญตกหล่นไปบ้าง

อาจมีความเข้าใจจากบุคคลผู้บันทึก – ที่เป็นคัมภีร์ให้ทุกคนได้ศึกษา

อาจมีการเข้าใจผิดไปจากประเด็นของความเป็นจริงอยู่บ้าง

 

เช่นนี้.. ก็เป็นสิ่งที่เลือนรางจางหายไปของพระธรรม

และยุคสู่ยุค แปลจากหนึ่งภาษา – มาเป็นอีกหนึ่งภาษา

ซึ่งก็สามารถรักษาไว้ได้ เป็นอย่างดี ละลูก

… เพียงแต่ก็มีธรรมที่ละเอียด ราวประมาณ 30-40% ที่หายไป

 

ฉะนั้น ลูกทั้งหลายเอ๋ย..  การฟื้นฟู ก็คือ.. การฟื้นฟูคำสอน

– ให้ชัดเจนขึ้น

– ให้เข้าใจตรงตามเป้าหมายหลักให้มากขึ้น

เพื่อให้ง่ายต่อการเรียนรู้ศึกษาธรรม.. ให้เข้าใจ

และสามารถนำไปประพฤติปฏิบัติ ฝึกฝนตามได้อย่างแท้จริง

… ให้เกิดผลอย่างแท้จริงเท่านั้น

 

ฉะนั้น.. จึงเป็นการฟื้นฟูพระธรรมคำสอน เท่านั้น

ไม่ได้มาแต่งพระธรรมคำสอนให้เกิดขึ้นใหม่นี่ลูก

 

ฉะนั้น ลูกเอ๋ย..  การก่อเกิดขึ้นของพระธรรม ก็คือ

การก่อเกิดขึ้นเพื่อฟื้นฟู

และการก่อเกิดขึ้น เพื่อต่อยอด

 

การต่อยอดพระธรรม ก็คือ ได้มาต่อยอด แสดงธรรมบางส่วนที่หายไป

ได้ต่อยอดแสดงธรรมบางส่วน ที่ละเอียดลึกซึ้งมากเพิ่มขึ้น

เปิดเผยความจริงของจักรวาล วัฏสงสารนี้ – ให้ชัดเจนขึ้น

ถึงเรื่องของการก่อเกิดดวงจิต

และสภาวธรรมความละเอียดอ่อนของวัฏสงสารนี้..

 

เปิดสภาวธรรมเหล่านี้.. ให้ชัดเจนขึ้น

ต่อยอดให้ทุกคน..ได้เข้าใจดวงจิต

เข้าใจดวงจิตวัฏสงสารมากเพิ่มขึ้น

 

/  เพื่อง่ายต่อการเรียนรู้ศึกษา

/  เพื่อไขข้อข้องใจ  และไม่มีความลังเลสงสัย

/  ทำความรู้ให้แจ้งแก่ทุกคนเท่านั้น

— ไม่มีอะไรที่จะผิดเพี้ยน หรือเปลี่ยนไปจากธรรมขององค์พระพุทธเจ้าเลย ++

 

ฉะนั้น..  พระธรรมที่เกิดขึ้นแล้วในกึ่งพุทธกาลนี้..

จึงก่อเกิดขึ้นเพื่อฟื้นฟูและต่อยอดพระพุทธศาสนา เท่านั้น +

 

ฉะนั้น ลูกทั้งหลายเอ๋ย..  รายละเอียดของพระธรรม จะปรากฏชัดเจนขึ้น

ยอดที่จะหายไป – ก็จะต่อยอดให้สมบูรณ์ขึ้น

 

ทั้งนี้.. ก็เพื่อทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่งในโลก เท่านั้น ++

 

เช่นนี้ละ พระยาธรรม  แล้วจะเป็นสิ่งใหม่ได้อย่างไรเล่า ?

ก็ในเมื่อ..

องค์พระพุทธ ก็คือ พระองค์เดิม

องค์พระธรรม ก็คือ พระธรรมเดิม

เพิ่มเติม คือ ละเอียดรอบคอบมากกว่า เท่านั้นเอง +

 

ลูกทั้งหลายเอ๋ย..  ส่วนเส้นทาง หนทาง แนวทางการประพฤติปฏิบัติ

ก็ไม่ได้เปลี่ยนให้ผิดเพี้ยนไปนี่ลูก

แนวทางการประพฤติปฏิบัติ ในหลักสูตรค้นหาตัวตนนั้น

 

การค้นหาตัวตน.. ก็ชัดเจนอยู่แล้ว ลูก

ว่า.. เราเป็นใคร  มาจากไหน

เกิดมาเพื่อทำอะไร

ตายแล้วจะไปที่ไหน

 

ทุกคนเกิดมาบนโลกนี้..  ก็เพื่อรู้จักตัวตน ที่ไปที่มาของตนเองนั่นละลูก

 

แล้วก็การที่ลูกทั้งหลาย.. มาฝึกฝนอยู่ในแนวทาง เส้นทางนี้

ลูกก็รักษาศีล ยังคงเดิมนี่ลูก

มีศีล 5  ศีล 8  ศีล 10  ศีล 227  เหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

 

เพิ่มเติม คือ การอธิบายให้เข้าใจในคำว่า ศีล.. มากเพิ่มขึ้น

ให้ลูกทั้งหลาย.. รู้เหตุรู้ผลของการรักษาศีลเท่านั้น ++

 

ธรรม ก็เป็นธรรมเดิม

 

สมาธิ ก็คือ สมาธิเดิม

ก็คือ การทำจิตใจให้สงบ

แล้วก็ให้ลูกทั้งหลายนั้น..ก่อเกิดปัญญา

รู้ตื่น รู้แจ้งในความสงบนั้น..

— ก็คือ สมาธิเดิมๆนั่นละลูก

 

แล้วก็ฝึกฝนปัญญา

ปัญญา ก็คือ การฝึกฝนปัญญา ทำให้ก่อเกิด

 

และบนเส้นทางแห่งการประพฤติปฏิบัติ – เพื่อมุ่งสู่ความพ้นทุกข์นั้น..

เป็นเส้นทางใหม่อยู่ตรงไหนเล่า?

— มันก็คือ เส้นทางเดิมนั่นละลูก…

เพียงแต่เพิ่มเติม ต่อยอด..

/  ให้สมบูรณ์ขึ้น

/  ให้เข้าใจเหตุเข้าใจผล

/  ทำได้อย่างง่ายดาย ในทางสายกลาง

 

เพื่อลูกทั้งหลาย.. ได้ฝึกฝนศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา ให้แตกฉานจริงๆ

และให้ลูกได้พ้นทุกข์จริงๆ  **

ไม่ใช่การรู้ตามตำรา

ไม่ใช่การรู้ตามเรื่องราวที่เล่าต่อกันมา

ไม่ใช่การทำไป แบบที่สักแต่ว่ารู้- เพียงเรื่องเปลือกภายนอก

 

แต่คือ การหยิบยื่นองค์ความรู้ที่ชัดเจน แก่ลูกทั้งหลาย..

ไม่ใช่การเข้าถึง องค์พระพุทธ และองค์พระธรรม องค์พระสงฆ์

– เพียงแค่ว่า.. เข้าถึงแล้ว รู้แล้ว.. ไปอย่างนั้น !

 

แต่ให้ลูกทั้งหลาย.. เข้าถึงความจริงขององค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์

— ด้วยการประพฤติปฏิบัติตาม —

เช่นนี้ อย่างนี้.. ไม่ดีหรืออย่างไรเล่า  !!

 

ฉะนั้นพระยาธรรมเอย..  ลูกทั้งหลาย.. จงคิดใหม่เข้าใจใหม่ ว่า

สิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วนี้ — ไม่ใช่เรื่องใหม่ สิ่งใหม่เลย..

 

แต่เป็นการฟื้นฟูและต่อยอด ศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา

ฟื้นฟูต่อยอด องค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์ – ให้แข็งแกร่ง มั่นคง

ต่อยอดพระรัตนตรัย

ต่อยอดพระพุทธศาสนา – ให้ฟื้นฟู เจริญขึ้นใหม่อีกครั้ง

แข็งแกร่ง สว่างไสว

 

เพื่อที่จะฉุดช่วยดวงจิตทั้งหลาย.. ก่อนพระพุทธศาสนา

จนกว่าจะสิ้นสุดอายุขัยแห่งพระพุทธศาสนา  คือ ครบ 5000 ปี

… เช่นนั้น อย่างนั้น

— แล้วจะเป็นของใหม่ได้อย่างไรเล่า  ?

 

เช่นนี้ละ พระยาธรรมเอย..  ในประการที่ 1 — ในสิ่งที่ 1

ลูกทั้งหลาย.. ควรทำความเข้าใจ เพื่อให้คำตอบแก่บุคคลผู้มาใหม่

บุคคลผู้ไม่รู้ ไม่เข้าใจทั้งหลายเหล่านั้นนะ.. พระยาธรรม

 

ฉะนั้น..ต่อจากนี้ไป

จงทำใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ — ไม่ใช่สิ่งใหม่ +

เพียงแต่เป็นการต่อยอด  ฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้เจริญขึ้น

เพื่ออายุขัยแห่งพระพุทธศาสนา.. จะได้อยู่ยาวนานไป จนครบ 5000 ปีเท่านั้น *

 

เอาละนะ พระยาธรรมเอย..  ต่อไปในประการที่ 2

หากลูกทั้งหลาย..

-เข้าใจในคำว่า ธรรมชาติ

–  เข้าใจในธรรมคำสอนขององค์พระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง

 

ลูกก็จะเข้าใจว่า..  ทุกอย่าง เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย

ตามยุค ตามสมัย

 

ก็ในเมื่อพระพุทธศาสนาก่อเกิดขึ้น ในวัฏสงสารนี้

ก็เลยมีเกิดขึ้น แล้วก็เลยมีตั้งอยู่  แล้วก็มีดับไป

 

ฉะนั้น..  พระพุทธศาสนาได้ก่อเกิดขึ้นแล้ว เมื่อ 2000 กว่าปี ที่ผ่านมา

กาลเวลาผ่านไป — ย่อมมีเลือนรางจางหายบ้าง เป็นธรรมดา  +

 

และถึงเวลา.. มีเหตุให้ต่อยอด ฟื้นฟูขึ้นมาใหม่

— ก็ย่อมต้องมีเกิดขึ้นมาใหม่ เป็นธรรมดา

 

และย่อมแน่นอนว่า ธรรมชาติให้ยุคนั้น.. ก็ต้องเป็นเช่นนั้น

ธรรมชาติในยุคนี้.. ก็ต้องเป็นเช่นนี้

 

เพราะว่า ธรรมะคือ ธรรมชาติ

เพราะว่า พระธรรม คือ การสอนให้เข้าใจในธรรมชาติ

 

ฉะนั้น..  ประกาศธรรมในยุคนี้  ก็ต้องสอนธรรมให้เข้ากับสมัยในยุคนี้

จะไปสอนให้เข้ากับยุคสมัยก่อน

… แล้วจะตรงกับธรรมชาติได้อย่างไรเล่า!!

 

ลูกจะต้องเรียนรู้ธรรมชาติ ในยุคปัจจุบัน  คำสอนก็ต้องชี้ทางบอกทาง

ให้เข้าใจ ถึงกิเลสตัณหา  ถึงสภาวธรรม สิ่งที่มันสับสนวุ่นวาย

.. หลายเรื่องราว ณ ปัจจุบัน

 

ให้ลูกทั้งหลาย.. ได้เข้าใจธรรมชาติของปัจจุบัน

เข้าใจตรงตามความเป็นจริงของตนเอง

และเพื่อฉุดช่วยตนเอง.. ให้พ้นจากความทุกข์นั้นได้ +

… จึงจะไม่ผิดไปจากหลักธรรม *

 

ลูกทั้งหลายเอ๋ย..  ฉะนั้น การที่พระธรรมได้ก่อเกิดขึ้นในกึ่งพุทธกาลนี้

และก็สอนให้รู้ ให้เข้าใจสภาวธรรมของเรื่องราวในปัจจุบัน

– โดยอยู่ในหลักคำสอนขององค์พระพุทธเจ้า

คือ คิดดี พูดดี ทำดี

ประพฤติปฏิบัติ อยู่ในกรอบแห่ง ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา

… เพื่อล้างกิเลสตัณหา

และหาวิธีที่จะทำให้ตนนั้น หลุดพ้นจากการเกิด

การเวียนว่ายในวัฏสงสารนี้…

 

เช่นนี้ก็ดีแล้วนี่ลูก  หรือว่าลูกจะเอาธรรมชาติของสมัย 2000 กว่าปี ที่ผ่านมา

ลูกจะเข้าใจ  และเข้าใจไปเพื่ออะไร

— ในเมื่อไม่ได้เข้าใจในเรื่องของตัวเอง

… แล้วจะเกิดประโยชน์อะไร !

 

ฉะนั้นลูกทั้งหลายเอ๋ย..

ธรรม เมื่อเกิดในยุคนี้..

สภาวธรรม.. ก็ต้องปรับให้เข้ากับยุคกับสมัย

เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป

 

บัดนี้ พระพุทธศาสนาได้ดำเนินมาจน 2500 กว่าปีแล้ว

ฉะนั้นลูกทั้งหลายเอ๋ย.. จะให้พระธรรมนั้นยังอยู่ในยุคสมัยก่อน

… มันก็ไม่ใช่เหตุที่จะต้องเป็นเช่นนั้น..

— นั่นละ จะเป็นเหตุแห่งการเสื่อมของพระพุทธศาสนา!!

 

ฉะนั้น.. บุคคลผู้เข้าใจพระธรรมคำสอน เข้าใจธรรมชาติของทุกสรรพสิ่ง

ย่อมรู้ดีเข้าใจดีว่า..

ทุกสรรพสิ่ง – ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

เกิดขึ้น และดำเนินไปตามเหตุตามปัจจัย

ไม่จำเป็นต้องฝืนอะไร เพื่อเป็นอะไร

… เช่นนี้ละ พระยาธรรมเอย

 

และคำสอนที่เกิดขึ้น ในกึ่งพุทธกาลนี้.. ก็จะใช้ได้แค่เฉพาะในยุคนี้

อย่างจริงจังเท่านั้น

 

ในยุคต่อๆไป ก็จะต้องมีการปรับประยุกต์ — เพื่อให้เข้ากับยุคกับสมัย

… แล้วก็เป็นเช่นนั้น อย่างนั้นไป

 

เพียงแต่ให้ยังคง ยึดรากฐานของหลักธรรมเดิม คือ

. การเห็นทุกข์

. การรู้เหตุแห่งทุกข์

. การรู้ที่ที่พ้นทุกข์

. และหนทางที่จะดำเนินไป เพื่อดับทุกข์

 

ยังคงยึดหลักธรรมเดิมที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้

มุ่งสู่การทำความดี  เพื่อละกิเลส  ++

 

ศีล คือ ตัวเดิม

กิเลสตัณหา คือ ตัวเดิม

นิพพาน คือ ตัวเดิม

เพิ่มเติม คือ แค่ภาษาพูด – ให้เข้าใจมากขึ้น

เพิ่มเติม แค่ให้เข้าใจ ตามยุคตามสมัยที่เป็นอยู่ เท่านั้น

 

… เช่นนี้ แล้วจะผิดเพี้ยนได้อย่างไรเล่า !!

 

หากองค์พระศาสดา จะประกาศธรรมแก่โลก  แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ทำ

พระธรรมนั้น.. จะสามารถฟื้นฟูได้หรือเปล่าเล่า

 

หากลูกนั้นมีสติปัญญามากพอที่จะรู้และเข้าใจในหลักคำสอนขององค์พระพุทธเจ้า

และเข้าใจในธรรมชาติอย่างแท้จริง

… จะไม่มีข้อโต้แย้งอะไรกับสิ่งนี้เลย…

 

ลูกทั้งหลาย.. จะเห็นเป็นธรรมดา

เห็นถูกตามองค์พระพุทธเจ้า  และเข้าใจตามนี้

 

เช่นนี้ละ พระยาธรรมเอย..  ลูกพอจะเข้าใจแล้วสินะ พระยาธรรม

 

ต่อไป ในประการที่ 3

สิ่งที่ลูกทั้งหลาย ควรที่จะทำความเข้าใจอีกประการหนึ่งนี้ ก็คือ..

 

เราไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องยึดถืออะไรไว้เพื่ออะไรทั้งหมดนี่ลูก

เรามีความจำเป็นของชีวิต เพียงแค่เรื่องเดียว คือ

— หาวิธีดับทุกข์ให้กับตนเองให้ได้ ก็พอ **

 

เราออกบวชมาแล้ว — ก็ยังคงมาติดกับการเป็นนักบวช อย่างนั้นหรือ

เราออกจากกฎของบ้าน ของสังคม มาแล้ว

ยังต้องมาติดอยู่กับกฎ กับกติกา ในกรอบของที่ที่เรามาปฏิบัติอย่างนั้นหรือ ?

 

ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. การยึดถือนั้น ไม่ว่าจะยึดถืออะไรก็ตาม

— ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ผิด

— ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ  +

 

เราไม่ติดบ้านติดเรือน  แต่ว่ามาติดอยู่ในสำนักใดสำนักหนึ่ง

ทั้งที่สำนักนั้น.. ไม่ได้สอนให้เราพ้นทุกข์

— เราก็หยุดอยู่แค่นั้นน่ะ

 

เราก็ออกบ้านออกเรือนมา  แต่มายึดถือความรู้ในคัมภีร์ ในตำรา

แล้วก็ยึดไว้ ยึดมั่นถือมั่นไว้ โดยไม่ปล่อยให้เป็นไปตามเหตุของความเป็นจริง

ไม่แสวงทางพ้นทุกข์ให้กับตน

— นั่นจะเป็นทางที่ถูกต้องได้อย่างไรเล่า  !

 

ฉะนั้นลูกทั้งหลายเอ๋ย..  การยึดติด ย่อมไม่ดี ลูก

ไม่ว่าจะยึดดี ยึดชั่ว

ยึดอดีต หรืออนาคต

ยึดตัวเรา หรือตัวเขา

… ย่อมไม่ดีทั้งนั้น!!

 

ยึดความรู้ที่รู้มาก่อนแล้ว  แล้วก็ยึดความรู้ที่กำลังจะรู้ต่อไป

มันก็คือการยึด

… ก็ไม่ดีทั้งนั้น ลูก

 

ฉะนั้น.. สิ่งที่ผ่านมาแล้ว ทำความเข้าใจ  มีประโยชน์กับเรา

ความรู้ในคัมภีร์.. ก็มีประโยชน์แก่เรา ลูก

… แต่ไม่ควรยึด

 

ทำในปัจจุบันนี้.. ให้เป็นตามเหตุ ตามธรรมชาติของมัน

ไม่ควรยึด แม้แต่ปัจจุบัน

แค่ทำความรู้ตื่น ทำความเข้าใจให้แจ้งเท่านั้น ++

 

ต่อไป จะดำเนินเช่นไร – ตามเส้นทางไหน

… เราก็ทำไป ปฏิบัติตามไป

แล้วก็ไม่ต้องยึดมั่นถือมั่นอะไรมากมาย…

 

เพียงแต่ทุกสิ่งผ่านเข้ามา  กำลังผ่านอยู่  และกำลังจะผ่านมานั้น

— เราจงทำความให้แจ้งกับสิ่งเหล่านั้น เท่านั้นก็พอ…

 

ลูกทั้งหลายเอ๋ย..  ให้ลูกทั้งหลาย จงพิจารณา

และทำความเข้าใจให้แจ้ง เช่นนี้ก็แล้วกันนะ

— การยึดถือในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง.. ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ดี  ++

 

เราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องยึดถืออะไร ไว้เพื่ออะไร

นอกจากหาทางพ้นทุกข์ให้กับตนเองให้ได้ ก็พอ +

 

เช่นดัง องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกบวช – ออกจากบ้านจากเรือน จากราชวังแล้ว

ไปอยู่ในสำนักนั้น สำนักนี้  ก็ได้ความรู้ในระดับหนึ่งอยู่

แต่ถ้าไม่ถึงที่สุดแห่งความรู้.. ก็ต้องไปต่อ

 

จนกว่าจะแสวงหาทางเจอ

* ตรัสรู้ชอบได้ โดยพระองค์เอง นั่นน่ะลูก

พ้นทุกข์แล้วน่ะลูก.. จึงจะใช้ได้  ++

 

ฉะนั้นลูกทั้งหลาย.. ก็เช่นเดียวกัน  อย่ายึดมั่นถือมั่นกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

ไม่ว่าจะเป็นบุญ หรือเป็นบาป

เป็นด้านดี หรือด้านชั่ว

… ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม หากสิ่งนั้น..ยังไม่เป็นเหตุให้เราถึงซึ่งความพ้นทุกข์

— เราต้องเดินต่อไปต้องดำเนินต่อไป – เพื่อความพ้นทุกข์ ++

 

จึงไม่จำเป็นต้อง..

. ติดอยู่กับตัวกับตน

. ติดอยู่กับบ้านกับเรือน

. ติดอยู่กับสำนักใดสำนักหนึ่ง

. คำสอนของครูบาอาจารย์องค์ใดองค์หนึ่ง

 

แต่ควรที่จะฝึกฝน และต่อยอด — เพื่อที่จะเข้าถึงความพ้นทุกข์..ให้ได้++

 

ไม่จำเป็นต้องติดอยู่กับคำว่า วิบากกรรม–จนทำให้ตนไปต่อไปไม่ได้

ไม่จำเป็นต้องติดกับคำว่า ทำดีแล้ว — จนทำให้ตนไปต่อไม่ได้

 

** เป้าหมายอันสูงสุด

คือ ความพ้นทุกข์

คือ การดับทุกข์ การเกิด

— ไม่ใช่การมาติดอยู่ในจุดใดจุดหนึ่ง  สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ++

 

ฉะนั้น.. ควรที่จะคลายความยึดถือทั้งหมด ทิ้งไป

ควรที่จะหาทางพ้นทุกข์ให้กับตนให้ได้

 

ดีแล้ว.. ก็ต้องดีอีก

ไม่ดี.. ผ่านไปแล้ว ก็ปล่อยผ่านไป

— เริ่มต้นใหม่  ดำเนินเส้นทางของตนใหม่ —

 

ล้มลุกคลุกคลานยังไง ก็ต้องลุกขึ้นใหม่

แล้วก็ไปต่อ..

— จึงจะเป็นบุคคลผู้ที่ จะมีโอกาสที่จะมีชัยชนะ

ที่จะประกาศชัยชนะแก่หมู่มารทั้งหลาย

จึงจะมีโอกาสพ้นทุกข์ได้.. ลูกทั้งหลายเอ๋ย

 

ฉะนั้น.. จงอย่ายึดติดกับสิ่งใดเลย

 

การยึดติด ไม่ใช่หนทางแห่งความพ้นทุกข์

การเรียนรู้ เพิ่มเติม ต่อยอด

การที่จะทำให้ตนถึงซึ่งความพ้นทุกข์ให้ได้

การมุ่งสู่จุดมุ่งหมาย

— นั่นละ คือ หนทางแห่งความพ้นทุกข์ —

 

เช่นนี้ละ พระยาธรรม..  ในประการที่ 3– ก็ลองพิจารณาตามนี้ดูนะ

 

ต่อไป ประการที่ 4

จงเปิดใจ  ให้โอกาสให้ตนเองเถิด.. ลูกเอ๋ย

ก่อนที่โอกาสอันน้อยนิดนี้ จะหมดไป — เพราะไม่มีอะไรตั้งอยู่นาน ลูก

ทุกอย่างดำเนิน แล้วก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วมาก..

 

ถึงแม้ว่าคำสอนจะมีอยู่..แต่ลูกจะมีอยู่ได้อีกนานเพียงใด ?

ถึงแม้จะมีชีวิตอยู่ แต่ความดี.. จะประคองได้มากแค่ไหน ?

 

ฉะนั้น ลูกได้มีโอกาสแล้ว  จงเปิดโอกาสให้กับตน ด้วยการเปิดใจยอมรับ

ยอมรับ น้อมรับสิ่งที่ดีเข้าไปสู่ตนเถอะ

อย่ามัวแต่ติดอยู่กับ..

– ทิฐิ อัตตาตัวตน

– ความยึดมั่นถือมั่น

– ความไม่รู้ตามความเป็นจริงของตนเลย..

 

จงเปิดจิตเปิดใจ

แล้วก็ทำจิตของตนให้ว่าง ให้เบาสบาย ให้เป็นกลาง

และยอมรับเถอะลูกยอมรับความจริงเถอะ

ความจริงชนะทุกสิ่ง.. ลูกเอ๋ย

 

จงอย่าไปติดกับสิ่งที่ลูกทั้งหลายนั้น.. มีมา เป็นมา เป็นอยู่

สิ่งต่างๆทั้งหลายเหล่านั้น ไม่สำคัญอะไร ลูก

* สำคัญ คือ ความพ้นทุกข์ เท่านั้น  ++

 

ฉะนั้น.. จงเปิดใจของลูก ให้โอกาสตนเอง ก่อนที่จะสายเกินไป

เปิดใจของลูก ให้โอกาสตนเอง

— ก่อนที่เวลาจะหมดไป

— ก่อนที่ประตูนิพพานของลูกจะปิดไป

 

บัดนี้ ประตูนิพพานได้เปิดแล้วแก่ลูก — ในเวลาที่มีอยู่นี้

จงรู้ตื่น เข้าใจเถิด.. ลูกเอ๋ย

อย่ามัวแต่หลับใหล ลุ่มหลงเลย

แล้วรีบเดินเข้าสู่ประตูพ้นทุกข์เถิดนะ

 

ต่อไป ประการที่ 5

พระยาธรรมเอย..  ต่อจากนี้ไป

* ทางเส้นนี้ จะเป็นหนทางหลัก

ที่องค์พระพุทธเจ้าทรงวางแบบ วางแนวทาง

วางแผนเอาไว้ให้ลูกทั้งหลาย.. ดำเนินตาม เพื่อพ้นทุกข์

 

พระยาธรรมเอย..  ทางเส้นนี้ ก็คือ ทางแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ที่ก่อเกิดขึ้นในกึ่งพุทธกาล

องค์พระธรรม ที่เกิดขึ้นในกึ่งพุทธกาล

องค์พระสงฆ์ ที่เกิดขึ้นในกึ่งพุทธกาลนี้

 

ด้วย สัมมาสัมพุทธะ ปัจฉิมาสัมพุทธะ

ด้วยพระพุทธเจ้าน้อยในกึ่งพุทธกาล

ด้วยพระธรรมคำสอนกึ่งพุทธกาล

ด้วยแนวทางการประพฤติปฏิบัติ – ในหลักสูตรค้นหาตัวตน

– ในสายธรรม สัมมาสัมพุทธะฯ นี้…

 

สิ่งเหล่านี้  เป็นสิ่งที่จะก่อเกิดขึ้น

เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว

และเป็นสิ่งที่จะเป็นแนวทาง

เป็นเส้นทาง.. ที่จะเป็นทางหลักของพระพุทธศาสนา *

— ให้ดวงจิตทั้งหลาย..ได้อาศัยเพื่อไปสู่ความพ้นทุกข์น่ะ.. พระยาธรรม

 

ฉะนั้น ลูกเอ๋ย..  ต่อจากนี้ไป หนทางสายใหม่นี้จะเป็นทางหลัก * ลูก

ลูกได้ปูทางเอาไว้ได้ดีแล้ว

— ทุกคน.. จะอาศัยทางเส้นนี้ เพื่อพ้นทุกข์ **

 

เช่นนี้ละ พระยาธรรมเอย..  ลูกพอจะเข้าใจทั้ง 5 ประการนี้บ้างแล้วหรือยังเล่า

จงกล่าวธรรมนั้นมาเถอะ พระยาธรรม

 

+ +

พระยาธรรม::   สาธุ เจ้าค่ะ

กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง

ลูกพอจะเข้าใจแล้วพระพุทธเจ้าค่ะ ว่า..

 

สิ่งที่ก่อเกิดขึ้นมานี้ – ไม่ใช่สิ่งใหม่

แต่เป็นการต่อยอด ฟื้นฟูพระพุทธศาสนา

ให้อายุขัยยาวนานไปจนครบ 5000 ปี

 

แล้วหากว่าเราเข้าใจคำสอน  เข้าใจหลักธรรมของพระพุทธองค์อย่างแท้จริง

เราก็จะรู้ เข้าใจตามเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้น ว่า.. เกิดตามเหตุ  ตามยุคตามสมัย

เราก็จะเป็นบุคคลผู้เข้าใจตามความเป็นจริง

เราไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องยึดถืออะไร ไว้เพื่ออะไร

… นอกจากการหาทางพ้นทุกข์ ให้กับเราเท่านั้น

 

จงเปิดใจ ให้โอกาสตัวของเราเอง  ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป

— เพราะเวลาและโอกาสที่ดีอย่างนี้ ไม่ได้มีอยู่นาน !!

 

และต่อไป หนทางแห่งสัมมาสัมพุทธะ ปัจฉิมาสัมพุทธะ– ในหลักสูตรค้นหาตัวตน

พระพุทธเจ้าน้อย

พระธรรม และพระสงฆ์

ที่ก่อเกิดขึ้นในกึ่งพุทธกาลนี้.. จะเป็นทางหลักของพระพุทธศาสนา

และจะเป็นทางลัด ที่จะให้ดวงจิตทั้งหลาย..ดำเนินตาม เพื่อพ้นทุกข์ **

 

… ลูกพอจะเข้าใจเช่นนี้ อย่างนี้แล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ

 

พระพุทธองค์:: เอาละ พระยาธรรม..ดีแล้วละลูก

บัดนี้ ลูกก็ได้เข้าใจสมบูรณ์ดีแล้ว ในธรรมที่ลูกได้ถามมา

ในเรื่องของการยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่

 

ฉะนั้น.. ให้ลูกทั้งหลาย  ทำความเข้าใจให้แจ้งทั้ง 5 ประการนี้

และจงประกาศธรรมนี้ ให้ดวงจิตทั้งหลาย..ได้รู้ตื่นตาม

… เขาก็จะไม่แตกตื่น ไม่เข้าใจว่าคือเรื่องใหม่

 

เขาก็จะเข้าใจว่า.. คือเรื่องเดิม

คือ องค์พระพุทธเจ้าพระองค์เดิม

พระธรรมเดิม และพระสงฆ์เดิม – นั่นละลูก

— เพียงแต่มีการฟื้นฟู และมีการถ่ายทอดใหม่ เท่านั้น  ++

 

เอาละ พระยาธรรมเอย..

ถ้าอย่างนั้น ลูกจงน้อมธรรมนี้ – ให้กับท่านแม่ชีกชพรได้ฟัง

เพื่อน้อมธรรมและเพื่อทำกิจการงานถวายต่อไปเถอะ

 

พระยาธรรมเอย..  ลูกจงกล่าวกับท่านแม่ชีกชพรเช่นนี้ อย่างนี้ว่า..

การที่องค์พระพุทธเจ้า เลือกการตรัสรู้แห่งพระยาธรรม ไว้ในเดือนสิงหาคมนี้

ด้วยว่า ในประเทศไทยนี้ — วันที่ 12 สิงหาคม คือ วันแม่ *

และเดือนนี้ ก็คือเดือนแห่งผู้เป็นมารดา +

 

และท่านแม่ชีกชกร ก็คือผู้ที่ถูกเลือกแล้ว.. ที่จะให้กำเนิดก่อเกิด

องค์พระอริยเจ้าองค์พระอริยบุคคลทั้งหลาย.. ให้ก่อเกิดขึ้นบนโลกนี้มากมาย

 

เป็นผู้ถูกเลือกให้เป็นมารดาแห่งพระพุทธศาสนา

ที่จะมีการช่วยเหลือดวงจิตต่างๆทั้งหลาย – โดยอาศัยกายแห่งท่านแม่ชีกชพรนะ

 

และลูกจึงต้องตรัสรู้ ในเดือนนี้

ลูกจึงต้องใช้กายนี้ – ในการที่จะสื่อธรรม น้อมธรรม

ใช้กายนี้ – ในการที่จะช่วยเหลือดวงจิตต่างๆ ทั้งหลาย..ให้เขาทั้งหลายได้รู้ตื่น

 

และบัดนี้  ท่านแม่ชีกชพร.. ก็ได้พิสูจน์ตนแล้วว่า

มีความเป็นมารดาอยู่ในตนอย่างเต็มที่

… ด้วยการมีความรักความเมตตากับทุกคน

ปรารถนาดีให้ทุกคนได้ดี อย่างบุตรของตน- ที่ให้กำเนิดมาเอง

… โดยไม่มีเงื่อนไข ข้อแม้ใดๆทั้งสิ้น

 

คนที่ไม่ได้ดี.. ก็ปรารถนาให้ได้ดี

ช่วยให้พ้นทุกข์ ให้ได้ดี

 

คนที่ทำผิดไป พลาดไป.. ก็ให้อภัย เริ่มต้นใหม่ได้

เข้มแข็งที่จะฉุดช่วยดวงจิตทั้งหลาย.. ให้พ้นทุกข์ได้

 

ฉะนั้น..  ถือว่า ความเป็นมารดาที่มีอยู่ในตน สมบูรณ์ดีทุกประการ *

 

ต่อจากนี้ไป กชพรเอย..  ลูกจะต้องเป็นบุคคลผู้ให้กำเนิดบุตรของเราแทน

คือ ผู้ที่จะสำเร็จเป็นอริยบุคคล พระอริยเจ้าทั้งหลาย

 

ลูกจะเป็นผู้ให้ดวงจิตทั้งหลายเหล่านั้น..

//  ได้เกิดในความพ้นทุกข์

//  ได้เกิดในศาสนานี้

//  ได้ถึงซึ่งพระนิพพาน

 

ดีแล้วละ ลูกทั้งหลาย.. จงตั้งใจดำเนินกิจของตนเถิดนะ

 

เช่นนี้ละ พระยาธรรมเอย..  ลูกพอจะเข้าใจบ้างแล้วหรือยังเล่า

จงกล่าวธรรมนั้นมาเถอะพระยาธรรม

 

+ +

พระยาธรรม::   สาธุ เจ้าค่ะ

ลูกพอจะเข้าใจแล้วพระพุทธเจ้าค่ะว่า..

 

ต่อจากนี้ไป..

ให้แม่ หรือว่าท่านแม่ชีกชพร – เป็นผู้รองรับการที่จะให้กำเนิดแก่

พระอริยเจ้าพระอริยบุคคลทั้งหลาย..

ให้ลูกนั้น ใช้กายนี้ – ดำเนินกิจการงานเผยแผ่ธรรมพระพุทธองค์ต่อไป

 

แม่ หรือท่านแม่ชีกชพร ได้พิสูจน์ตนในความเป็นมารดาแห่งจักรวาลนี้

เพื่อให้กำเนิดบุตรขององค์พระพุทธเจ้า- ให้ก่อเกิด

 

ลูกพอจะเข้าใจเช่นนี้แล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ

 

พระพุทธองค์::   ดีแล้วละ พระยาธรรมเอย..

บุตรีผู้นี้ เป็นผู้สามารถกำเนิดก่อเกิดลูกขึ้นมาในโลกทิพย์

รักษาและดูแลค้ำหนุน อุ้มชูลูก

…จนลูกสามารถเรียนรู้กิจการงานต่างๆ

มาจนถึงวันที่ลูกนั้น ลงสู่โลก

 

บุตรีผู้นี้ ก็เสียสละกาย เสียสละทุกสิ่งเพื่อรองรับลูก

เมื่อลูกก่อเกิดขึ้นมาแล้ว.. ก็นำทางลูก  ปูทางให้ลูก

พาลูกสร้างบารมีอดทนอดกลั้น  เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง

และรองรับกิจอันสำคัญแห่งองค์พระพุทธเจ้า

— เพื่อที่จะทำกิจของพระพุทธศาสนา ให้สำเร็จลุล่วงไป —

 

สตรีผู้นี้ ได้เสียสละทั้งชีวิต กาย ใจ ไว้รองรับ

จนบัดนี้ ได้กำเนิดก่อเกิด องค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์

ได้สมบูรณ์ในกึ่งพุทธกาล.. ก็ด้วยสตรีผู้นี้

 

และต่อจากนี้ไป  บุคคลผู้ที่จะสามารถกำเนิดก่อเกิดในแดนพ้นทุกข์ได้

— ก็ด้วยสตรีผู้นี้.. เป็นผู้ชี้ทางบอกทาง *

 

พระยาธรรมเอย..  ฉะนั้น แม่ของลูก หรือว่าท่านแม่ชีกชพรนั้น

จึงเปรียบดังพื้นปฐพีนี้ – ที่ให้กำเนิดก่อเกิดทุกสรรพสิ่ง

ความเป็นมารดา สำเร็จ สมบูรณ์แล้ว..

— ทั้งภายในและภายนอก

 

ฉะนั้นต่อจากนี้ไป

บุตรีผู้นี้.. จะเป็นผู้ให้กำเนิดดวงจิตผู้พ้นทุกข์ขึ้นมามากมาย ทั่วโลกธาตุ **

 

เหล่าทวยเทพเทวาทุกชั้นฟ้า  สาธุการในคุณงามความดีนี้ร่วมกัน

 

+ +

พระยาธรรม::   สาธุ พระพุทธเจ้าค่ะ

กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ที่ทรงเมตตาดวงจิตทั้งหลาย..

 

และขอกราบนอบน้อมถึงคุณงามความดี ของพระแม่โพธิสัตว์

ผู้มีความเมตตายิ่งใหญ่ไพศาล

— ที่ฉุดช่วยดวงจิตทั้งหลาย

และรองรับทุกข์ให้กับทุกที่ ทุกแห่งหน  ทุกดวงจิต *

 

ลูกขอกราบนอบน้อมต่อพระแม่โพธิสัตว์ ทั้งในกายทิพย์ และในกายมนุษย์

คือ ท่านแม่ชีกชพร

ด้วยความเคารพนอบน้อมจากผู้เป็นบุตร  และเป็นตัวแทนของบุตร พระพุทธเจ้าค่ะ…

 

สาธุ

https://www.youtube.com/channel/UCLPItHt2aEVkXFmt17KKjKA