พุทธธรรมแห่งความเมตตา วันที่ 20 สิงหาคม 2564
บทที่ 104 **การยอมรับสิ่งใหม่ในศาสนา**
+ +
ในเช้าของวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2564 ณ สวนธรรมิกราช
เมื่อท่านพระยาธรรมิกราช ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่าน เพื่อเฝ้าฟังธรรมแล้วนั้น จึงได้นอบน้อมเฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า…
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าทูลถามถึง ข้อธรรม บทที่ 104 น่ะเจ้าค่ะ
คือว่าลูกเกิดความสงสัยเช่นนี้ อย่างนี้ว่า..
บัดนี้ องค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์ได้ก่อเกิดขึ้นแล้วในกึ่งพุทธกาล
พระพุทธก็ก่อเกิดขึ้นในนามองค์แทนองค์พระพุทธเจ้า คือ องค์พระพุทธเจ้าน้อย
พระยาธรรมิกราช
พระธรรม ก็ก่อเกิดขึ้น ด้วยการสื่อธรรมตรงจากแดนพระนิพพาน จากองค์พระพุทธเจ้า
โดยผ่านลงมาที่กายของท่านแม่ชีกชพร – ซึ่งก็เป็นกายของสตรี
และองค์พระสงฆ์ ก่อเกิดขึ้นด้วยหนทางการประพฤติปฏิบัติ – ในหลักสูตรค้นหาตัวตน
แนวทางการปฏิบัติ ในสายปฏิบัติธรรมสัมมาสัมพุทธะ ปัจฉิมาสัมพุทธะ
ทีนี้ ลูกจึงเกิดความสงสัยอย่างนี้ว่า.. จะทำยังไงหรือเจ้าคะ ให้ผู้คนและดวงจิตทั้งหลาย..
สามารถยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่นี้.. เข้าสู่ตน และพ้นทุกข์ได้ น่ะเจ้าค่ะ
เพราะลูกเห็นว่า.. การที่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นใหม่นั้น..
เป็นเรื่องยากมากที่จะทำให้ดวงจิต และผู้คนยอมรับกันได้ น่ะเจ้าค่ะ
ลูกจึงจะขอถึงพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาเป็นที่พึ่ง แสดงธรรมการยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ให้ลูกได้ฟัง ได้พิจารณา ทำความเข้าใจ เพื่อน้อมไปประพฤติปฏิบัติตาม
และเผยแผ่ให้ทุกคนได้ทำความเข้าใจด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ ”
– – – –
ดีแล้วละ พระยาธรรมเอ๋ย..ถ้าอย่างนั้น ให้ลูกทั้งหลาย จงทำจิตของตนให้นิ่งเฉย
วางเฉย.. ให้เกิดความเป็นกลางขึ้นมาเสียก่อนนะ
วางความเป็นตัวเป็นตน วางความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เรารู้
ในสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ ทิ้งไปให้หมด
ให้เหลือเพียงแค่ดวงจิต ที่เบาสบาย
ว่างโล่ง โปร่ง สว่างไสว
ดุจดังดวงแก้ว ดวงธรรม
ให้ปัญญาอันรู้ตื่น รู้แจ้ง – ก่อเกิดขึ้นเสียก่อน.. ลูกทั้งหลายเอ๋ย
แล้วจึงค่อยใช้ปัญญาอันรู้ตื่นจากภายในของลูก ค่อยๆพิจารณาธรรมดังต่อไปนี้..
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ในประการที่ 1 — นั้น
ให้ลูกทั้งหลายทำความเข้าใจ เช่นนี้ อย่างนี้ว่า..
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้.. ไม่ใช่สิ่งใหม่ ไม่ใช่อะไรที่เป็นเรื่องใหม่เลยลูก +
–แต่เป็นการฟื้นฟู และต่อยอดพระพุทธศาสนา.. ให้เจริญขึ้นอีกครั้งหนึ่ง *
เพื่อที่จะต่ออายุขัยแห่งพระพุทธศาสนา
ให้อยู่ยาวนานไป จนถึง 5000 ปีเท่านั้น
พระยาธรรมเอย.. หากลูกได้เข้าใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วนี้ คือ สิ่งใหม่
ลูกก็จะคิดว่ามันเป็นเรื่องใหม่ เป็นสิ่งใหม่
แล้วก็จะพากันปฏิเสธบ้าง ยอมรับบ้าง
ทั้งที่การคิดเช่นนั้น เข้าใจเช่นนั้น.. ก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ถูกต้องเลย !!
— เพียงแต่ว่า ลูกทั้งหลาย.. ไม่รู้ตามความเป็นจริง เท่านั้น ++
พระยาธรรมเอย.. สิ่งที่ก่อเกิดขึ้นมา ขึ้นแล้ว ในวันนี้ ที่นี่
คือ การตรัสรู้ธรรมขององค์พระพุทธเจ้าน้อย
การก่อเกิดองค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์
องค์พระรัตนตรัยที่ก่อเกิดขึ้นนี้.. ก็ไม่ใช่การก่อเกิดศาสนา ขึ้นมาใหม่นี่ลูก
แต่เป็นการฟื้นฟู ต่อยอด ให้พระพุทธศาสนานั้น.. กลับมาเจริญรุ่งเรือง
เป็นกิจอันสำคัญแห่งองค์พระศาสดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
–ที่ทรงเมตตาแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย.. ผู้เวียนว่ายตายเกิดอยู่
ได้วางแบบแผน แผนงานที่จะส่งธรรมของพระพุทธองค์ลงสู่โลก
— กลับมาฟื้นฟูอีกครั้งหนึ่ง ในกึ่งพุทธกาลนี้เท่านั้น**
ฉะนั้น..
องค์พระพุทธก็คือ พระองค์เดิม
องค์พระธรรม ก็คือ พระธรรมเดิม
องค์พระสงฆ์ก็คือ พระสงฆ์เดิม
ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรเป็นสิ่งใหม่
เพียงแต่ฟื้นฟูขึ้นมาเพื่อต่อยอดพระพุทธศาสนา
ให้สามารถสืบทอด.. จนกว่าจะสิ้นสุดอายุขัยของศาสนา
คือ ครบ 5000 ปี เท่านั้น ++
พระยาธรรมเอย.. องค์พระพุทธเจ้า ที่บังเกิดขึ้นบนโลกนี้
ในนาม พระพุทธเจ้าน้อย
… ก็มาจากองค์พระพุทธเจ้าหลวง – องค์พระพุทธเจ้าสมณโคดม บรมครูเจ้านั่นละ
เพียงแต่ก่อเกิดด้วยพลังบารมีจากพระองค์
แล้วก็ก่อเกิดขึ้นมา- เป็นสภาวธรรมแทนพระองค์
คือ เป็นพระพุทธเจ้าน้อย
คือ เป็นสภาวธรรม ที่เกิดขึ้นแทนองค์พระพุทธ เท่านั้น *
แต่เบื้องหลังองค์พระพุทธเจ้าน้อย ก็คือ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าขับเคลื่อนอยู่
แล้วจะมีอะไรใหม่เล่า ลูก!
พระศาสดา ก็คือ พระองค์เดิม
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. ไม่มีอะไรเป็นสิ่งใหม่
ก็คือ องค์พระพุทธ -องค์พระพุทธเจ้า พระสมณโคดม บรมครูเจ้าพระองค์เดิมนั่นละ
และองค์พระธรรม ก็แสดงธรรมมาจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์เดิม
ไม่ได้มีพระศาสดาองค์ใหม่ มาแสดงธรรม
ธรรมไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจากหลักธรรม จากธรรมที่องค์พระพุทธเจ้าได้แสดง
องค์พระพุทธเจ้า เป็นผู้แสดงธรรมเหล่านี้ ส่งลงมาสู่โลก – ด้วยพระองค์เอง
เพียงแต่พระธรรม..ก็จะมีการฟื้นฟู ต่อยอด
ฟื้นฟู ก็คือ ธรรมบางส่วนที่ละเอียด ที่หายไป
… ก็มีการฟื้นฟูให้ชัดเจนขึ้น
กาลเวลาผ่านไป 2000 กว่าปีแล้วนี่ลูก
ฉะนั้น..
อาจมีธรรมที่ละเอียด ที่สำคัญตกหล่นไปบ้าง
อาจมีความเข้าใจจากบุคคลผู้บันทึก – ที่เป็นคัมภีร์ให้ทุกคนได้ศึกษา
อาจมีการเข้าใจผิดไปจากประเด็นของความเป็นจริงอยู่บ้าง
เช่นนี้.. ก็เป็นสิ่งที่เลือนรางจางหายไปของพระธรรม
และยุคสู่ยุค แปลจากหนึ่งภาษา – มาเป็นอีกหนึ่งภาษา
ซึ่งก็สามารถรักษาไว้ได้ เป็นอย่างดี ละลูก
… เพียงแต่ก็มีธรรมที่ละเอียด ราวประมาณ 30-40% ที่หายไป
ฉะนั้น ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. การฟื้นฟู ก็คือ.. การฟื้นฟูคำสอน
– ให้ชัดเจนขึ้น
– ให้เข้าใจตรงตามเป้าหมายหลักให้มากขึ้น
เพื่อให้ง่ายต่อการเรียนรู้ศึกษาธรรม.. ให้เข้าใจ
และสามารถนำไปประพฤติปฏิบัติ ฝึกฝนตามได้อย่างแท้จริง
… ให้เกิดผลอย่างแท้จริงเท่านั้น
ฉะนั้น.. จึงเป็นการฟื้นฟูพระธรรมคำสอน เท่านั้น
ไม่ได้มาแต่งพระธรรมคำสอนให้เกิดขึ้นใหม่นี่ลูก
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. การก่อเกิดขึ้นของพระธรรม ก็คือ
การก่อเกิดขึ้นเพื่อฟื้นฟู
และการก่อเกิดขึ้น เพื่อต่อยอด
การต่อยอดพระธรรม ก็คือ ได้มาต่อยอด แสดงธรรมบางส่วนที่หายไป
ได้ต่อยอดแสดงธรรมบางส่วน ที่ละเอียดลึกซึ้งมากเพิ่มขึ้น
เปิดเผยความจริงของจักรวาล วัฏสงสารนี้ – ให้ชัดเจนขึ้น
ถึงเรื่องของการก่อเกิดดวงจิต
และสภาวธรรมความละเอียดอ่อนของวัฏสงสารนี้..
เปิดสภาวธรรมเหล่านี้.. ให้ชัดเจนขึ้น
ต่อยอดให้ทุกคน..ได้เข้าใจดวงจิต
เข้าใจดวงจิตวัฏสงสารมากเพิ่มขึ้น
/ เพื่อง่ายต่อการเรียนรู้ศึกษา
/ เพื่อไขข้อข้องใจ และไม่มีความลังเลสงสัย
/ ทำความรู้ให้แจ้งแก่ทุกคนเท่านั้น
— ไม่มีอะไรที่จะผิดเพี้ยน หรือเปลี่ยนไปจากธรรมขององค์พระพุทธเจ้าเลย ++
ฉะนั้น.. พระธรรมที่เกิดขึ้นแล้วในกึ่งพุทธกาลนี้..
จึงก่อเกิดขึ้นเพื่อฟื้นฟูและต่อยอดพระพุทธศาสนา เท่านั้น +
ฉะนั้น ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. รายละเอียดของพระธรรม จะปรากฏชัดเจนขึ้น
ยอดที่จะหายไป – ก็จะต่อยอดให้สมบูรณ์ขึ้น
ทั้งนี้.. ก็เพื่อทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่งในโลก เท่านั้น ++
เช่นนี้ละ พระยาธรรม แล้วจะเป็นสิ่งใหม่ได้อย่างไรเล่า ?
ก็ในเมื่อ..
องค์พระพุทธ ก็คือ พระองค์เดิม
องค์พระธรรม ก็คือ พระธรรมเดิม
เพิ่มเติม คือ ละเอียดรอบคอบมากกว่า เท่านั้นเอง +
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ส่วนเส้นทาง หนทาง แนวทางการประพฤติปฏิบัติ
ก็ไม่ได้เปลี่ยนให้ผิดเพี้ยนไปนี่ลูก
แนวทางการประพฤติปฏิบัติ ในหลักสูตรค้นหาตัวตนนั้น
การค้นหาตัวตน.. ก็ชัดเจนอยู่แล้ว ลูก
ว่า.. เราเป็นใคร มาจากไหน
เกิดมาเพื่อทำอะไร
ตายแล้วจะไปที่ไหน
ทุกคนเกิดมาบนโลกนี้.. ก็เพื่อรู้จักตัวตน ที่ไปที่มาของตนเองนั่นละลูก
แล้วก็การที่ลูกทั้งหลาย.. มาฝึกฝนอยู่ในแนวทาง เส้นทางนี้
ลูกก็รักษาศีล ยังคงเดิมนี่ลูก
มีศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 เหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
เพิ่มเติม คือ การอธิบายให้เข้าใจในคำว่า ศีล.. มากเพิ่มขึ้น
ให้ลูกทั้งหลาย.. รู้เหตุรู้ผลของการรักษาศีลเท่านั้น ++
ธรรม ก็เป็นธรรมเดิม
สมาธิ ก็คือ สมาธิเดิม
ก็คือ การทำจิตใจให้สงบ
แล้วก็ให้ลูกทั้งหลายนั้น..ก่อเกิดปัญญา
รู้ตื่น รู้แจ้งในความสงบนั้น..
— ก็คือ สมาธิเดิมๆนั่นละลูก
แล้วก็ฝึกฝนปัญญา
ปัญญา ก็คือ การฝึกฝนปัญญา ทำให้ก่อเกิด
และบนเส้นทางแห่งการประพฤติปฏิบัติ – เพื่อมุ่งสู่ความพ้นทุกข์นั้น..
เป็นเส้นทางใหม่อยู่ตรงไหนเล่า?
— มันก็คือ เส้นทางเดิมนั่นละลูก…
เพียงแต่เพิ่มเติม ต่อยอด..
/ ให้สมบูรณ์ขึ้น
/ ให้เข้าใจเหตุเข้าใจผล
/ ทำได้อย่างง่ายดาย ในทางสายกลาง
เพื่อลูกทั้งหลาย.. ได้ฝึกฝนศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา ให้แตกฉานจริงๆ
และให้ลูกได้พ้นทุกข์จริงๆ **
ไม่ใช่การรู้ตามตำรา
ไม่ใช่การรู้ตามเรื่องราวที่เล่าต่อกันมา
ไม่ใช่การทำไป แบบที่สักแต่ว่ารู้- เพียงเรื่องเปลือกภายนอก
แต่คือ การหยิบยื่นองค์ความรู้ที่ชัดเจน แก่ลูกทั้งหลาย..
ไม่ใช่การเข้าถึง องค์พระพุทธ และองค์พระธรรม องค์พระสงฆ์
– เพียงแค่ว่า.. เข้าถึงแล้ว รู้แล้ว.. ไปอย่างนั้น !
แต่ให้ลูกทั้งหลาย.. เข้าถึงความจริงขององค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์
— ด้วยการประพฤติปฏิบัติตาม —
เช่นนี้ อย่างนี้.. ไม่ดีหรืออย่างไรเล่า !!
ฉะนั้นพระยาธรรมเอย.. ลูกทั้งหลาย.. จงคิดใหม่เข้าใจใหม่ ว่า
สิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วนี้ — ไม่ใช่เรื่องใหม่ สิ่งใหม่เลย..
แต่เป็นการฟื้นฟูและต่อยอด ศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา
ฟื้นฟูต่อยอด องค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์ – ให้แข็งแกร่ง มั่นคง
ต่อยอดพระรัตนตรัย
ต่อยอดพระพุทธศาสนา – ให้ฟื้นฟู เจริญขึ้นใหม่อีกครั้ง
แข็งแกร่ง สว่างไสว
เพื่อที่จะฉุดช่วยดวงจิตทั้งหลาย.. ก่อนพระพุทธศาสนา
จนกว่าจะสิ้นสุดอายุขัยแห่งพระพุทธศาสนา คือ ครบ 5000 ปี
… เช่นนั้น อย่างนั้น
— แล้วจะเป็นของใหม่ได้อย่างไรเล่า ?
เช่นนี้ละ พระยาธรรมเอย.. ในประการที่ 1 — ในสิ่งที่ 1
ลูกทั้งหลาย.. ควรทำความเข้าใจ เพื่อให้คำตอบแก่บุคคลผู้มาใหม่
บุคคลผู้ไม่รู้ ไม่เข้าใจทั้งหลายเหล่านั้นนะ.. พระยาธรรม
ฉะนั้น..ต่อจากนี้ไป
จงทำใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ — ไม่ใช่สิ่งใหม่ +
เพียงแต่เป็นการต่อยอด ฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้เจริญขึ้น
เพื่ออายุขัยแห่งพระพุทธศาสนา.. จะได้อยู่ยาวนานไป จนครบ 5000 ปีเท่านั้น *
เอาละนะ พระยาธรรมเอย.. ต่อไปในประการที่ 2 —
หากลูกทั้งหลาย..
-เข้าใจในคำว่า ธรรมชาติ
– เข้าใจในธรรมคำสอนขององค์พระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง
ลูกก็จะเข้าใจว่า.. ทุกอย่าง เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย
ตามยุค ตามสมัย
ก็ในเมื่อพระพุทธศาสนาก่อเกิดขึ้น ในวัฏสงสารนี้
ก็เลยมีเกิดขึ้น แล้วก็เลยมีตั้งอยู่ แล้วก็มีดับไป
ฉะนั้น.. พระพุทธศาสนาได้ก่อเกิดขึ้นแล้ว เมื่อ 2000 กว่าปี ที่ผ่านมา
กาลเวลาผ่านไป — ย่อมมีเลือนรางจางหายบ้าง เป็นธรรมดา +
และถึงเวลา.. มีเหตุให้ต่อยอด ฟื้นฟูขึ้นมาใหม่
— ก็ย่อมต้องมีเกิดขึ้นมาใหม่ เป็นธรรมดา
และย่อมแน่นอนว่า ธรรมชาติให้ยุคนั้น.. ก็ต้องเป็นเช่นนั้น
ธรรมชาติในยุคนี้.. ก็ต้องเป็นเช่นนี้
เพราะว่า ธรรมะคือ ธรรมชาติ
เพราะว่า พระธรรม คือ การสอนให้เข้าใจในธรรมชาติ
ฉะนั้น.. ประกาศธรรมในยุคนี้ ก็ต้องสอนธรรมให้เข้ากับสมัยในยุคนี้
จะไปสอนให้เข้ากับยุคสมัยก่อน
… แล้วจะตรงกับธรรมชาติได้อย่างไรเล่า!!
ลูกจะต้องเรียนรู้ธรรมชาติ ในยุคปัจจุบัน คำสอนก็ต้องชี้ทางบอกทาง
ให้เข้าใจ ถึงกิเลสตัณหา ถึงสภาวธรรม สิ่งที่มันสับสนวุ่นวาย
.. หลายเรื่องราว ณ ปัจจุบัน
ให้ลูกทั้งหลาย.. ได้เข้าใจธรรมชาติของปัจจุบัน
เข้าใจตรงตามความเป็นจริงของตนเอง
และเพื่อฉุดช่วยตนเอง.. ให้พ้นจากความทุกข์นั้นได้ +
… จึงจะไม่ผิดไปจากหลักธรรม *
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ฉะนั้น การที่พระธรรมได้ก่อเกิดขึ้นในกึ่งพุทธกาลนี้
และก็สอนให้รู้ ให้เข้าใจสภาวธรรมของเรื่องราวในปัจจุบัน
– โดยอยู่ในหลักคำสอนขององค์พระพุทธเจ้า
คือ คิดดี พูดดี ทำดี
ประพฤติปฏิบัติ อยู่ในกรอบแห่ง ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา
… เพื่อล้างกิเลสตัณหา
และหาวิธีที่จะทำให้ตนนั้น หลุดพ้นจากการเกิด
การเวียนว่ายในวัฏสงสารนี้…
เช่นนี้ก็ดีแล้วนี่ลูก หรือว่าลูกจะเอาธรรมชาติของสมัย 2000 กว่าปี ที่ผ่านมา
ลูกจะเข้าใจ และเข้าใจไปเพื่ออะไร
— ในเมื่อไม่ได้เข้าใจในเรื่องของตัวเอง
… แล้วจะเกิดประโยชน์อะไร !
ฉะนั้นลูกทั้งหลายเอ๋ย..
ธรรม เมื่อเกิดในยุคนี้..
สภาวธรรม.. ก็ต้องปรับให้เข้ากับยุคกับสมัย
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
บัดนี้ พระพุทธศาสนาได้ดำเนินมาจน 2500 กว่าปีแล้ว
ฉะนั้นลูกทั้งหลายเอ๋ย.. จะให้พระธรรมนั้นยังอยู่ในยุคสมัยก่อน
… มันก็ไม่ใช่เหตุที่จะต้องเป็นเช่นนั้น..
— นั่นละ จะเป็นเหตุแห่งการเสื่อมของพระพุทธศาสนา!!
ฉะนั้น.. บุคคลผู้เข้าใจพระธรรมคำสอน เข้าใจธรรมชาติของทุกสรรพสิ่ง
ย่อมรู้ดีเข้าใจดีว่า..
ทุกสรรพสิ่ง – ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
เกิดขึ้น และดำเนินไปตามเหตุตามปัจจัย
ไม่จำเป็นต้องฝืนอะไร เพื่อเป็นอะไร
… เช่นนี้ละ พระยาธรรมเอย
และคำสอนที่เกิดขึ้น ในกึ่งพุทธกาลนี้.. ก็จะใช้ได้แค่เฉพาะในยุคนี้
อย่างจริงจังเท่านั้น
ในยุคต่อๆไป ก็จะต้องมีการปรับประยุกต์ — เพื่อให้เข้ากับยุคกับสมัย
… แล้วก็เป็นเช่นนั้น อย่างนั้นไป
เพียงแต่ให้ยังคง ยึดรากฐานของหลักธรรมเดิม คือ
. การเห็นทุกข์
. การรู้เหตุแห่งทุกข์
. การรู้ที่ที่พ้นทุกข์
. และหนทางที่จะดำเนินไป เพื่อดับทุกข์
ยังคงยึดหลักธรรมเดิมที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้
มุ่งสู่การทำความดี เพื่อละกิเลส ++
ศีล คือ ตัวเดิม
กิเลสตัณหา คือ ตัวเดิม
นิพพาน คือ ตัวเดิม
เพิ่มเติม คือ แค่ภาษาพูด – ให้เข้าใจมากขึ้น
เพิ่มเติม แค่ให้เข้าใจ ตามยุคตามสมัยที่เป็นอยู่ เท่านั้น
… เช่นนี้ แล้วจะผิดเพี้ยนได้อย่างไรเล่า !!
หากองค์พระศาสดา จะประกาศธรรมแก่โลก แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ทำ
พระธรรมนั้น.. จะสามารถฟื้นฟูได้หรือเปล่าเล่า
หากลูกนั้นมีสติปัญญามากพอที่จะรู้และเข้าใจในหลักคำสอนขององค์พระพุทธเจ้า
และเข้าใจในธรรมชาติอย่างแท้จริง
… จะไม่มีข้อโต้แย้งอะไรกับสิ่งนี้เลย…
ลูกทั้งหลาย.. จะเห็นเป็นธรรมดา
เห็นถูกตามองค์พระพุทธเจ้า และเข้าใจตามนี้
เช่นนี้ละ พระยาธรรมเอย.. ลูกพอจะเข้าใจแล้วสินะ พระยาธรรม
ต่อไป ในประการที่ 3 —
สิ่งที่ลูกทั้งหลาย ควรที่จะทำความเข้าใจอีกประการหนึ่งนี้ ก็คือ..
เราไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องยึดถืออะไรไว้เพื่ออะไรทั้งหมดนี่ลูก
เรามีความจำเป็นของชีวิต เพียงแค่เรื่องเดียว คือ
— หาวิธีดับทุกข์ให้กับตนเองให้ได้ ก็พอ **
เราออกบวชมาแล้ว — ก็ยังคงมาติดกับการเป็นนักบวช อย่างนั้นหรือ
เราออกจากกฎของบ้าน ของสังคม มาแล้ว
ยังต้องมาติดอยู่กับกฎ กับกติกา ในกรอบของที่ที่เรามาปฏิบัติอย่างนั้นหรือ ?
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. การยึดถือนั้น ไม่ว่าจะยึดถืออะไรก็ตาม
— ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ผิด
— ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ +
เราไม่ติดบ้านติดเรือน แต่ว่ามาติดอยู่ในสำนักใดสำนักหนึ่ง
ทั้งที่สำนักนั้น.. ไม่ได้สอนให้เราพ้นทุกข์
— เราก็หยุดอยู่แค่นั้นน่ะ
เราก็ออกบ้านออกเรือนมา แต่มายึดถือความรู้ในคัมภีร์ ในตำรา
แล้วก็ยึดไว้ ยึดมั่นถือมั่นไว้ โดยไม่ปล่อยให้เป็นไปตามเหตุของความเป็นจริง
ไม่แสวงทางพ้นทุกข์ให้กับตน
— นั่นจะเป็นทางที่ถูกต้องได้อย่างไรเล่า !
ฉะนั้นลูกทั้งหลายเอ๋ย.. การยึดติด ย่อมไม่ดี ลูก
ไม่ว่าจะยึดดี ยึดชั่ว
ยึดอดีต หรืออนาคต
ยึดตัวเรา หรือตัวเขา
… ย่อมไม่ดีทั้งนั้น!!
ยึดความรู้ที่รู้มาก่อนแล้ว แล้วก็ยึดความรู้ที่กำลังจะรู้ต่อไป
มันก็คือการยึด
… ก็ไม่ดีทั้งนั้น ลูก
ฉะนั้น.. สิ่งที่ผ่านมาแล้ว ทำความเข้าใจ มีประโยชน์กับเรา
ความรู้ในคัมภีร์.. ก็มีประโยชน์แก่เรา ลูก
… แต่ไม่ควรยึด
ทำในปัจจุบันนี้.. ให้เป็นตามเหตุ ตามธรรมชาติของมัน
ไม่ควรยึด แม้แต่ปัจจุบัน
แค่ทำความรู้ตื่น ทำความเข้าใจให้แจ้งเท่านั้น ++
ต่อไป จะดำเนินเช่นไร – ตามเส้นทางไหน
… เราก็ทำไป ปฏิบัติตามไป
แล้วก็ไม่ต้องยึดมั่นถือมั่นอะไรมากมาย…
เพียงแต่ทุกสิ่งผ่านเข้ามา กำลังผ่านอยู่ และกำลังจะผ่านมานั้น
— เราจงทำความให้แจ้งกับสิ่งเหล่านั้น เท่านั้นก็พอ…
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ให้ลูกทั้งหลาย จงพิจารณา
และทำความเข้าใจให้แจ้ง เช่นนี้ก็แล้วกันนะ
— การยึดถือในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง.. ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ดี ++
เราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องยึดถืออะไร ไว้เพื่ออะไร
นอกจากหาทางพ้นทุกข์ให้กับตนเองให้ได้ ก็พอ +
เช่นดัง องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกบวช – ออกจากบ้านจากเรือน จากราชวังแล้ว
ไปอยู่ในสำนักนั้น สำนักนี้ ก็ได้ความรู้ในระดับหนึ่งอยู่
แต่ถ้าไม่ถึงที่สุดแห่งความรู้.. ก็ต้องไปต่อ
จนกว่าจะแสวงหาทางเจอ
* ตรัสรู้ชอบได้ โดยพระองค์เอง นั่นน่ะลูก
พ้นทุกข์แล้วน่ะลูก.. จึงจะใช้ได้ ++
ฉะนั้นลูกทั้งหลาย.. ก็เช่นเดียวกัน อย่ายึดมั่นถือมั่นกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นบุญ หรือเป็นบาป
เป็นด้านดี หรือด้านชั่ว
… ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม หากสิ่งนั้น..ยังไม่เป็นเหตุให้เราถึงซึ่งความพ้นทุกข์
— เราต้องเดินต่อไปต้องดำเนินต่อไป – เพื่อความพ้นทุกข์ ++
จึงไม่จำเป็นต้อง..
. ติดอยู่กับตัวกับตน
. ติดอยู่กับบ้านกับเรือน
. ติดอยู่กับสำนักใดสำนักหนึ่ง
. คำสอนของครูบาอาจารย์องค์ใดองค์หนึ่ง
แต่ควรที่จะฝึกฝน และต่อยอด — เพื่อที่จะเข้าถึงความพ้นทุกข์..ให้ได้++
ไม่จำเป็นต้องติดอยู่กับคำว่า วิบากกรรม–จนทำให้ตนไปต่อไปไม่ได้
ไม่จำเป็นต้องติดกับคำว่า ทำดีแล้ว — จนทำให้ตนไปต่อไม่ได้
** เป้าหมายอันสูงสุด
คือ ความพ้นทุกข์
คือ การดับทุกข์ การเกิด
— ไม่ใช่การมาติดอยู่ในจุดใดจุดหนึ่ง สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ++
ฉะนั้น.. ควรที่จะคลายความยึดถือทั้งหมด ทิ้งไป
ควรที่จะหาทางพ้นทุกข์ให้กับตนให้ได้
ดีแล้ว.. ก็ต้องดีอีก
ไม่ดี.. ผ่านไปแล้ว ก็ปล่อยผ่านไป
— เริ่มต้นใหม่ ดำเนินเส้นทางของตนใหม่ —
ล้มลุกคลุกคลานยังไง ก็ต้องลุกขึ้นใหม่
แล้วก็ไปต่อ..
— จึงจะเป็นบุคคลผู้ที่ จะมีโอกาสที่จะมีชัยชนะ
ที่จะประกาศชัยชนะแก่หมู่มารทั้งหลาย
จึงจะมีโอกาสพ้นทุกข์ได้.. ลูกทั้งหลายเอ๋ย
ฉะนั้น.. จงอย่ายึดติดกับสิ่งใดเลย
การยึดติด ไม่ใช่หนทางแห่งความพ้นทุกข์
การเรียนรู้ เพิ่มเติม ต่อยอด
การที่จะทำให้ตนถึงซึ่งความพ้นทุกข์ให้ได้
การมุ่งสู่จุดมุ่งหมาย
— นั่นละ คือ หนทางแห่งความพ้นทุกข์ —
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. ในประการที่ 3– ก็ลองพิจารณาตามนี้ดูนะ
ต่อไป ประการที่ 4 —
จงเปิดใจ ให้โอกาสให้ตนเองเถิด.. ลูกเอ๋ย
ก่อนที่โอกาสอันน้อยนิดนี้ จะหมดไป — เพราะไม่มีอะไรตั้งอยู่นาน ลูก
ทุกอย่างดำเนิน แล้วก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วมาก..
ถึงแม้ว่าคำสอนจะมีอยู่..แต่ลูกจะมีอยู่ได้อีกนานเพียงใด ?
ถึงแม้จะมีชีวิตอยู่ แต่ความดี.. จะประคองได้มากแค่ไหน ?
ฉะนั้น ลูกได้มีโอกาสแล้ว จงเปิดโอกาสให้กับตน ด้วยการเปิดใจยอมรับ
ยอมรับ น้อมรับสิ่งที่ดีเข้าไปสู่ตนเถอะ
อย่ามัวแต่ติดอยู่กับ..
– ทิฐิ อัตตาตัวตน
– ความยึดมั่นถือมั่น
– ความไม่รู้ตามความเป็นจริงของตนเลย..
จงเปิดจิตเปิดใจ
แล้วก็ทำจิตของตนให้ว่าง ให้เบาสบาย ให้เป็นกลาง
และยอมรับเถอะลูกยอมรับความจริงเถอะ
ความจริงชนะทุกสิ่ง.. ลูกเอ๋ย
จงอย่าไปติดกับสิ่งที่ลูกทั้งหลายนั้น.. มีมา เป็นมา เป็นอยู่
สิ่งต่างๆทั้งหลายเหล่านั้น ไม่สำคัญอะไร ลูก
* สำคัญ คือ ความพ้นทุกข์ เท่านั้น ++
ฉะนั้น.. จงเปิดใจของลูก ให้โอกาสตนเอง ก่อนที่จะสายเกินไป
เปิดใจของลูก ให้โอกาสตนเอง
— ก่อนที่เวลาจะหมดไป
— ก่อนที่ประตูนิพพานของลูกจะปิดไป
บัดนี้ ประตูนิพพานได้เปิดแล้วแก่ลูก — ในเวลาที่มีอยู่นี้
จงรู้ตื่น เข้าใจเถิด.. ลูกเอ๋ย
อย่ามัวแต่หลับใหล ลุ่มหลงเลย
แล้วรีบเดินเข้าสู่ประตูพ้นทุกข์เถิดนะ
ต่อไป ประการที่ 5 —
พระยาธรรมเอย.. ต่อจากนี้ไป
* ทางเส้นนี้ จะเป็นหนทางหลัก
ที่องค์พระพุทธเจ้าทรงวางแบบ วางแนวทาง
วางแผนเอาไว้ให้ลูกทั้งหลาย.. ดำเนินตาม เพื่อพ้นทุกข์
พระยาธรรมเอย.. ทางเส้นนี้ ก็คือ ทางแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่ก่อเกิดขึ้นในกึ่งพุทธกาล
องค์พระธรรม ที่เกิดขึ้นในกึ่งพุทธกาล
องค์พระสงฆ์ ที่เกิดขึ้นในกึ่งพุทธกาลนี้
ด้วย สัมมาสัมพุทธะ ปัจฉิมาสัมพุทธะ
ด้วยพระพุทธเจ้าน้อยในกึ่งพุทธกาล
ด้วยพระธรรมคำสอนกึ่งพุทธกาล
ด้วยแนวทางการประพฤติปฏิบัติ – ในหลักสูตรค้นหาตัวตน
– ในสายธรรม สัมมาสัมพุทธะฯ นี้…
สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่จะก่อเกิดขึ้น
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว
และเป็นสิ่งที่จะเป็นแนวทาง
เป็นเส้นทาง.. ที่จะเป็นทางหลักของพระพุทธศาสนา *
— ให้ดวงจิตทั้งหลาย..ได้อาศัยเพื่อไปสู่ความพ้นทุกข์น่ะ.. พระยาธรรม
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. ต่อจากนี้ไป หนทางสายใหม่นี้จะเป็นทางหลัก * ลูก
ลูกได้ปูทางเอาไว้ได้ดีแล้ว
— ทุกคน.. จะอาศัยทางเส้นนี้ เพื่อพ้นทุกข์ **
เช่นนี้ละ พระยาธรรมเอย.. ลูกพอจะเข้าใจทั้ง 5 ประการนี้บ้างแล้วหรือยังเล่า
จงกล่าวธรรมนั้นมาเถอะ พระยาธรรม
+ +
พระยาธรรม:: สาธุ เจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง
ลูกพอจะเข้าใจแล้วพระพุทธเจ้าค่ะ ว่า..
สิ่งที่ก่อเกิดขึ้นมานี้ – ไม่ใช่สิ่งใหม่
แต่เป็นการต่อยอด ฟื้นฟูพระพุทธศาสนา
ให้อายุขัยยาวนานไปจนครบ 5000 ปี
แล้วหากว่าเราเข้าใจคำสอน เข้าใจหลักธรรมของพระพุทธองค์อย่างแท้จริง
เราก็จะรู้ เข้าใจตามเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้น ว่า.. เกิดตามเหตุ ตามยุคตามสมัย
เราก็จะเป็นบุคคลผู้เข้าใจตามความเป็นจริง
เราไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องยึดถืออะไร ไว้เพื่ออะไร
… นอกจากการหาทางพ้นทุกข์ ให้กับเราเท่านั้น
จงเปิดใจ ให้โอกาสตัวของเราเอง ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป
— เพราะเวลาและโอกาสที่ดีอย่างนี้ ไม่ได้มีอยู่นาน !!
และต่อไป หนทางแห่งสัมมาสัมพุทธะ ปัจฉิมาสัมพุทธะ– ในหลักสูตรค้นหาตัวตน
พระพุทธเจ้าน้อย
พระธรรม และพระสงฆ์
ที่ก่อเกิดขึ้นในกึ่งพุทธกาลนี้.. จะเป็นทางหลักของพระพุทธศาสนา
และจะเป็นทางลัด ที่จะให้ดวงจิตทั้งหลาย..ดำเนินตาม เพื่อพ้นทุกข์ **
… ลูกพอจะเข้าใจเช่นนี้ อย่างนี้แล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์:: เอาละ พระยาธรรม..ดีแล้วละลูก
บัดนี้ ลูกก็ได้เข้าใจสมบูรณ์ดีแล้ว ในธรรมที่ลูกได้ถามมา
ในเรื่องของการยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่
ฉะนั้น.. ให้ลูกทั้งหลาย ทำความเข้าใจให้แจ้งทั้ง 5 ประการนี้
และจงประกาศธรรมนี้ ให้ดวงจิตทั้งหลาย..ได้รู้ตื่นตาม
… เขาก็จะไม่แตกตื่น ไม่เข้าใจว่าคือเรื่องใหม่
เขาก็จะเข้าใจว่า.. คือเรื่องเดิม
คือ องค์พระพุทธเจ้าพระองค์เดิม
พระธรรมเดิม และพระสงฆ์เดิม – นั่นละลูก
— เพียงแต่มีการฟื้นฟู และมีการถ่ายทอดใหม่ เท่านั้น ++
เอาละ พระยาธรรมเอย..
ถ้าอย่างนั้น ลูกจงน้อมธรรมนี้ – ให้กับท่านแม่ชีกชพรได้ฟัง
เพื่อน้อมธรรมและเพื่อทำกิจการงานถวายต่อไปเถอะ
พระยาธรรมเอย.. ลูกจงกล่าวกับท่านแม่ชีกชพรเช่นนี้ อย่างนี้ว่า..
การที่องค์พระพุทธเจ้า เลือกการตรัสรู้แห่งพระยาธรรม ไว้ในเดือนสิงหาคมนี้
ด้วยว่า ในประเทศไทยนี้ — วันที่ 12 สิงหาคม คือ วันแม่ *
และเดือนนี้ ก็คือเดือนแห่งผู้เป็นมารดา +
และท่านแม่ชีกชกร ก็คือผู้ที่ถูกเลือกแล้ว.. ที่จะให้กำเนิดก่อเกิด
องค์พระอริยเจ้าองค์พระอริยบุคคลทั้งหลาย.. ให้ก่อเกิดขึ้นบนโลกนี้มากมาย
เป็นผู้ถูกเลือกให้เป็นมารดาแห่งพระพุทธศาสนา
ที่จะมีการช่วยเหลือดวงจิตต่างๆทั้งหลาย – โดยอาศัยกายแห่งท่านแม่ชีกชพรนะ
และลูกจึงต้องตรัสรู้ ในเดือนนี้
ลูกจึงต้องใช้กายนี้ – ในการที่จะสื่อธรรม น้อมธรรม
ใช้กายนี้ – ในการที่จะช่วยเหลือดวงจิตต่างๆ ทั้งหลาย..ให้เขาทั้งหลายได้รู้ตื่น
และบัดนี้ ท่านแม่ชีกชพร.. ก็ได้พิสูจน์ตนแล้วว่า
มีความเป็นมารดาอยู่ในตนอย่างเต็มที่
… ด้วยการมีความรักความเมตตากับทุกคน
ปรารถนาดีให้ทุกคนได้ดี อย่างบุตรของตน- ที่ให้กำเนิดมาเอง
… โดยไม่มีเงื่อนไข ข้อแม้ใดๆทั้งสิ้น
คนที่ไม่ได้ดี.. ก็ปรารถนาให้ได้ดี
ช่วยให้พ้นทุกข์ ให้ได้ดี
คนที่ทำผิดไป พลาดไป.. ก็ให้อภัย เริ่มต้นใหม่ได้
เข้มแข็งที่จะฉุดช่วยดวงจิตทั้งหลาย.. ให้พ้นทุกข์ได้
ฉะนั้น.. ถือว่า ความเป็นมารดาที่มีอยู่ในตน สมบูรณ์ดีทุกประการ *
ต่อจากนี้ไป กชพรเอย.. ลูกจะต้องเป็นบุคคลผู้ให้กำเนิดบุตรของเราแทน
คือ ผู้ที่จะสำเร็จเป็นอริยบุคคล พระอริยเจ้าทั้งหลาย
ลูกจะเป็นผู้ให้ดวงจิตทั้งหลายเหล่านั้น..
// ได้เกิดในความพ้นทุกข์
// ได้เกิดในศาสนานี้
// ได้ถึงซึ่งพระนิพพาน
ดีแล้วละ ลูกทั้งหลาย.. จงตั้งใจดำเนินกิจของตนเถิดนะ
เช่นนี้ละ พระยาธรรมเอย.. ลูกพอจะเข้าใจบ้างแล้วหรือยังเล่า
จงกล่าวธรรมนั้นมาเถอะพระยาธรรม
+ +
พระยาธรรม:: สาธุ เจ้าค่ะ
ลูกพอจะเข้าใจแล้วพระพุทธเจ้าค่ะว่า..
ต่อจากนี้ไป..
ให้แม่ หรือว่าท่านแม่ชีกชพร – เป็นผู้รองรับการที่จะให้กำเนิดแก่
พระอริยเจ้าพระอริยบุคคลทั้งหลาย..
ให้ลูกนั้น ใช้กายนี้ – ดำเนินกิจการงานเผยแผ่ธรรมพระพุทธองค์ต่อไป
แม่ หรือท่านแม่ชีกชพร ได้พิสูจน์ตนในความเป็นมารดาแห่งจักรวาลนี้
เพื่อให้กำเนิดบุตรขององค์พระพุทธเจ้า- ให้ก่อเกิด
ลูกพอจะเข้าใจเช่นนี้แล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์:: ดีแล้วละ พระยาธรรมเอย..
บุตรีผู้นี้ เป็นผู้สามารถกำเนิดก่อเกิดลูกขึ้นมาในโลกทิพย์
รักษาและดูแลค้ำหนุน อุ้มชูลูก
…จนลูกสามารถเรียนรู้กิจการงานต่างๆ
มาจนถึงวันที่ลูกนั้น ลงสู่โลก
บุตรีผู้นี้ ก็เสียสละกาย เสียสละทุกสิ่งเพื่อรองรับลูก
เมื่อลูกก่อเกิดขึ้นมาแล้ว.. ก็นำทางลูก ปูทางให้ลูก
พาลูกสร้างบารมีอดทนอดกลั้น เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
และรองรับกิจอันสำคัญแห่งองค์พระพุทธเจ้า
— เพื่อที่จะทำกิจของพระพุทธศาสนา ให้สำเร็จลุล่วงไป —
สตรีผู้นี้ ได้เสียสละทั้งชีวิต กาย ใจ ไว้รองรับ
จนบัดนี้ ได้กำเนิดก่อเกิด องค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์
ได้สมบูรณ์ในกึ่งพุทธกาล.. ก็ด้วยสตรีผู้นี้
และต่อจากนี้ไป บุคคลผู้ที่จะสามารถกำเนิดก่อเกิดในแดนพ้นทุกข์ได้
— ก็ด้วยสตรีผู้นี้.. เป็นผู้ชี้ทางบอกทาง *
พระยาธรรมเอย.. ฉะนั้น แม่ของลูก หรือว่าท่านแม่ชีกชพรนั้น
จึงเปรียบดังพื้นปฐพีนี้ – ที่ให้กำเนิดก่อเกิดทุกสรรพสิ่ง
ความเป็นมารดา สำเร็จ สมบูรณ์แล้ว..
— ทั้งภายในและภายนอก
ฉะนั้นต่อจากนี้ไป
บุตรีผู้นี้.. จะเป็นผู้ให้กำเนิดดวงจิตผู้พ้นทุกข์ขึ้นมามากมาย ทั่วโลกธาตุ **
เหล่าทวยเทพเทวาทุกชั้นฟ้า สาธุการในคุณงามความดีนี้ร่วมกัน
+ +
พระยาธรรม:: สาธุ พระพุทธเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ที่ทรงเมตตาดวงจิตทั้งหลาย..
และขอกราบนอบน้อมถึงคุณงามความดี ของพระแม่โพธิสัตว์
ผู้มีความเมตตายิ่งใหญ่ไพศาล
— ที่ฉุดช่วยดวงจิตทั้งหลาย
และรองรับทุกข์ให้กับทุกที่ ทุกแห่งหน ทุกดวงจิต *
ลูกขอกราบนอบน้อมต่อพระแม่โพธิสัตว์ ทั้งในกายทิพย์ และในกายมนุษย์
คือ ท่านแม่ชีกชพร
ด้วยความเคารพนอบน้อมจากผู้เป็นบุตร และเป็นตัวแทนของบุตร พระพุทธเจ้าค่ะ…
สาธุ
https://www.youtube.com/channel/UCLPItHt2aEVkXFmt17KKjKA