ธรรมะธรรมจักรกึ่งพุทธกาล วันที่ 13เมษายน 2565
บทที่ 88 **บททดสอบของเกมชีวิต**
+ +
ในเช้าของวันที่13 เมษายน พ.ศ. 2565 ณ มหาวิชชาลัยธรรมิกราช
เมื่อท่านพระพุทธเจ้าน้อยได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่าน เพื่อเฝ้าฟังธรรมแล้ว จึงได้นอบน้อมเฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า…
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ในเรื่องของบททดสอบของเกมชีวิต น่ะเจ้าค่ะ
ว่า มีอะไรบ้างที่เป็นสิ่งทดสอบ เป็นบททดสอบดวงจิตทั้งหลาย
ให้จะต้องฝึกฝนฟันฝ่าอุปสรรค สิ่งทดสอบต่างๆเหล่านั้น น่ะเจ้าค่ะ
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตา แสดงธรรมอธิบายธรรมเหล่านี้ ให้ลูกได้ทำความเข้าใจ
และนำไปเผยแผ่ด้วยเถิดพระพุทธเจ้าค่ะ ”
– – – –
พระพุทธองค์ :: ดีแล้วละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย..ถ้าอย่างนั้น ก็จงตั้งใจฟังให้ดีเถิดลูก
ทำจิตให้สบาย ทำใจให้สงบ
ชาร์จพลัง เติมพลัง
ให้จิตนั้น.. เกิดแสงสว่าง ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว
ให้จิตของลูกนั้น.. ทรงพลังแห่งความรู้ตื่น เข้าใจตามความเป็นจริง
พระพุทธเจ้าน้อยเอย..เมื่อลูกนั้น ได้ปรับสภาวธรรมแห่งจิตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
พร้อมที่จะสดับฟังธรรมแล้วก็จงค่อยๆพิจารณาธรรม ดังต่อไปนี้เถิด.. ลูกเอ๋ย
ย่อมแน่นอนล่ะ พระพุทธเจ้าน้อยเอย..ว่า การที่ลูกทั้งหลายอยู่ในวัฏสงสาร
การที่ลูกทั้งหลาย.. จะต้องฝึกฝนประพฤติปฏิบัติตน ดำเนินอยู่
— จะต้องมีบททดสอบ สิ่งทดสอบมากมาย ที่เป็นสิ่งที่จะเข้ามาให้ลูกนั้น..
ได้ทดลอง ทดสอบตนเองว่า.. ตนนั้นสามารถรู้เท่าทัน รู้ตามได้มากพอเพียงใด
ฉะนั้น.. กฎของเกมในวัฏสงสาร
นอกจากมีกฎกติกาแห่งวัฏสงสาร ด้วยกฎแห่งกรรม // กฎแห่งความไม่เที่ยงแท้
ด้วยอำนาจแห่งกิเลสตัณหาแล้ว..
ยังคงมีสิ่งที่เรียกว่า..สิ่งทดสอบบททดสอบต่างๆ หลายอย่าง
ที่ลูกนั้น จะต้องเรียนรู้ ทำความเข้าใจ เพื่อ..
– จะได้สามารถเล่นเกมชีวิต ได้ตามกติกา
– จะได้เป็นผู้ชนะในเกม
ลูกจงพิจารณาธรรม ตามดังต่อไปนี้เถิด.. ลูกเอ๋ย
ธรรมในประการที่ 1—
ให้ลูกนั้น ทำความเข้าใจถึงเรื่องของกิเลสและตัณหา
… เพราะเรื่องของกิเลสตัณหานั้น – เป็นบททดสอบ เป็นสิ่งทดสอบ +
ลูกเอ๋ย.. เมื่อดวงจิตของลูกก่อเกิดขึ้นมาแล้ว ด้วยสภาวะแห่งธรรมชาติ
และโดยธรรมชาติของจิตนั้น ก็คือ
เมื่อก่อเกิดขึ้นแล้ว – ไม่สามารถแตกดับไปได้ *
จิตนั้น เมื่อก่อเกิดขึ้น – ไม่มีภูมิคุ้มกันของจิต
— ที่จะคุ้มกันจิตไม่ให้อำนาจแห่งกิเลสตัณหาเข้าครอบงำ
ฉะนั้น.. จิตทุกดวง ที่เกิดขึ้นแล้ว มีขึ้นแล้วในวัฏสงสารนี้นั้น..
จึงไม่มีภูมิต้านทานที่จะคุ้มครองตน.. ให้สามารถอยู่เหนือเชื้อแห่งกิเลสตัณหา
หรือว่าลูกนั้น..ไม่สามารถที่จะทำให้ตนนั้น -ไม่ถูกอำนาจกิเลสตัณหาครอบงำ
จิตทุกดวงเมื่อเกิดขึ้นแล้ว.. จึงถูกอำนาจแห่งกิเลสตัณหา
คือ เชื้อแห่งความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ / เชื้อแห่งความอยาก และความไม่อยากนั้นเข้าครอบงำ
ทำให้จิตของลูกทั้งหลาย..
เกิดความลุ่มหลง ความไม่รู้ตามความเป็นจริง
เกิดความรักเกิดความโลภ และเกิดความโกรธขึ้นมา
ทำให้ลูกนั้น.. เกิดความอยาก ความไม่อยาก ขึ้นมา
— ทำให้มีอาการเหล่านี้ ซึ่งเพราะว่าโดนเชื้อแห่งกิเลสตัณหานั้นครอบงำ
— ทำให้จิตดวงนั้น จะต้องเจ็บป่วยด้วยโรคหลง โรครัก โรคแห่งความโลภ และความโกรธ
/ โรคอยาก และไม่อยาก
ทีนี้ อาการนั้นก็ก่อเกิดขึ้น คือ อาการแห่งความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ
/ ความอยาก และความไม่อยาก
เมื่ออาการเหล่านั้นเกิดขึ้นแล้ว.. จึงนำพาให้จิตของลูก สร้างกรรม
คือ การกระทำทำตามที่ลูกนั้นรู้สึก – ตามอาการแห่งเชื้อกิเลส เชื้อตัณหาเหล่านั้น..
ฉะนั้นพระพุทธเจ้าน้อยเอย..สิ่งที่ลูกทั้งหลาย ควรทำความเข้าใจว่า
นั่นคือสิ่งทดสอบ คือบททดสอบของตน
ก็คือ กิเลส และตัณหา– เป็นบททดสอบลูก
ลูกทั้งหลาย.. จึงควรที่จะฝึกฝนตน ให้มีสติตั้งมั่น
ให้จิตของลูกนั้นแข็งแกร่ง รู้ตื่น เข้าใจตามความเป็นจริง
ลูกทั้งหลาย.. ควรที่จะฝึกตนให้รู้เท่ารู้ทันว่า
นี่คือ สภาวะแห่งความหลง
คือ สภาวะแห่งความรัก
คือ ความโลภ ความโกรธ / ความอยาก และไม่อยาก
สิ่งเหล่านี้ – เป็นเหตุแห่งทุกข์
สิ่งเหล่านี้ – เมื่อมีแล้ว ก็ย่อมจะต้องทุกข์
ทุกข์อยู่ร่ำไปอย่างนี้ – หาที่สิ้นสุดไม่ได้ !
— และมันคือ บททดสอบ–
ฉะนั้น..
จงอย่าหลง – ฝึกตนไม่ให้หลง
จงอย่ารัก -ฝึกตนไม่ให้รัก
จงอย่าโลภ – ฝึกตนไม่ให้โลภ
จงอย่าโกรธ – ฝึกตนไม่ให้โกรธ
จงฝึกฝนตน.. ให้อยู่เหนือความอยาก และไม่อยาก
เอาชนะสิ่งเหล่านี้ให้ได้ +
เมื่อเอาชนะสิ่งเหล่านี้ได้..
แสดงว่า.. ลูกสามารถผ่านบททดสอบต่างๆได้
ดวงจิตที่ไปสู่พระนิพพานแล้วนั้น
คือ ดวงจิตผู้ที่สามารถทำแบบทดสอบเหล่านี้ ผ่านหมดแล้ว
จนสร้างภูมิของจิตตนขึ้นมา — ทำให้ตนสามารถ
– อยู่กับเชื้อแบบไม่ป่วย
– อยู่กับเชื้อ แบบเชื้อทำอะไรไม่ได้
คือ เชื้อแห่งความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ
/ ความอยาก และความไม่อยากเหล่านั้น — ทำอะไรจิตดวงนั้นไม่ได้อีก !!
จิตดวงนั้น จึงอยู่เหนือกิเลส อยู่เหนือสิ่งทดสอบ
จึงเข้าสู่พระนิพพานได้
เช่นนี้ละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย..
สิ่งทดสอบบททดสอบสิ่งแรก คือ กิเลสตัณหา ลูก
ต่อไป ธรรมในประการที่ 2 —
ให้ลูกทั้งหลาย.. จงทำความเข้าใจอย่างนี้ว่า
สิ่งที่จะเป็นบททดสอบ สิ่งทดสอบลูกทั้งหลายนั้น.. ก็คือเรื่องของ กรรม
กรรม คือ การกระทำที่เรานี้ – ได้ผิดพลาดทำไปแล้วในกาลก่อน
และส่งผลมาขัดขวางตัดรอน ทดสอบ
บุคคลผู้ใด ทำกรรมชั่วไว้มาก — ก็จะต้องเจอกับวิบากกรรม สิ่งทดสอบมากมาย
จะต้องมีกรรมเก่าของตน.. เป็นสิ่งทดสอบ +
และกรรม คือ การกระทำที่เราสามารถที่จะเลือกทำ ณ ปัจจุบันได้
ด้วยการสร้างกรรมใหม่ที่ดี หรือไม่ดี
— ตามความรู้ ความเข้าใจ ตามที่เรานั้นเลือกที่จะทำ —
บุคคล เมื่อไม่รู้ ไม่เข้าใจตามความเป็นจริงเลือกที่จะทำกรรมที่ไม่ดี
กรรรมที่ไม่ดีนั้น.. ก็กลายเป็นบททดสอบ สิ่งทดสอบ
เป็นกับดักให้กับชีวิตของตน
ในที่สุดตนก็จะเป็นผู้แพ้ — ด้วยการกระทำของตนเอง ++
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย..
กรรมเก่า ก็คือ บททดสอบ
กรรมใหม่ ก็คือ บททดสอบ
การที่เรานี้ จะสามารถที่จะเป็นผู้ชนะในเกมได้
เราจะต้องรู้ถึงกรรมเก่า – ที่ส่งผลมา
เข้าใจในกฎแห่งกรรม
… ยอมรับสภาพตามความเป็นจริง – ชดใช้มันไป ++
จะต้องมีสติตั้งมั่น รู้เท่าทันกรรมที่เรากำลังจะทำใหม่
ทำแต่สิ่งที่ดี เว้นจากการทำสิ่งที่ชั่ว
ทำความดีไป โดยปราศจากกิเลสตัณหา
ให้ความดีนั้นบริสุทธิ์
ความดี คือ กรรมใหม่ของลูก *
… จะพาให้ลูกข้ามผ่านทุกอย่างไปได้
เช่นนี้ละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย..
กรรม คือ บททดสอบ ลูก +
ต่อไป ธรรมในประการที่ 3 —
ให้ลูกทั้งหลาย.. จงทำความเข้าใจในเรื่องของกาย
กายนี้ ก็คือ บททดสอบ ลูก
กายนี้ -เกิดขึ้นจากกรรม
กรรม – เกิดขึ้นจากกิเลสตัณหา
กิเลสตัณหา – คลุกเข้ากับจิต ครอบงำจิต
.. จึงพาให้สร้างกรรม
.. จึงก่อให้เกิดกายนี้ขึ้นมา..
กายนี้ จึง..
เป็นก้อนกรรม
เป็นผลของกรรม
เป็นสิ่งที่เป็นไปตามกรรม
เป็นสิ่งที่เรานี้ – ได้รับผลมาจากกรรม
ฉะนั้น.. เราควรที่จะรู้ว่า กายนี้ ก็คือ บททดสอบ –
สอบให้เราหลงยึดในตัวในตนแห่งกาย
ยึดว่ากายนี้.. เป็นเรา เป็นของเรา
หลงในกายนี้ว่า.. เป็นตัวตนของเรา
ทำให้เราไม่เห็นตามสภาวะแห่งความเป็นจริง ว่า..
แท้ที่จริง กายทั้งหลาย คือ ผลของกรรมของทุกดวงจิต
— ที่ก่อเกิดให้เป็นเช่นนั้น เป็นอย่างนั้น – ในดวงจิตนั้นๆ…
แท้ที่จริง กายทั้งหลายคือรูป คือเวทนา คือสัญญา สังขาร และวิญญาณ
แท้ที่จริง กายทั้งหลาย คือ ธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ
แท้ที่จริง กายทั้งหลาย คืออาการ 32
– มีความไม่เที่ยงแท้
– มีที่ไป คือ การดับสูญสลาย กลับคืนสู่ความไม่มี ++
เช่นนี้ละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย..
กายนั้น ก็เป็นบททดสอบ เป็นสิ่งทดสอบเราเหมือนกัน *
ถ้าเราไม่รู้ ไม่เข้าใจตามความเป็นจริง –เราก็ยึดกายมาเป็นเรา เป็นตัวตนของเรา
ก็ดิ้นรนไป ขวนขวายไป สร้างกรรมไป
ทำในสิ่งที่จะต้องได้ ต้องมี ต้องเป็น
— เพื่อมาดูแลกายนี้
— เพื่อมาทำให้กายๆนี้สุขสบาย
ลืมสร้างสิ่งที่ดี ทำสิ่งที่ดี
จนก่อเกิดการเวียนว่ายตายเกิด หาที่สิ้นสุดไม่ได้ !!
หลงติดอยู่ในกาย
ฉะนั้น.. กายของเรานี้ละลูก คือบททดสอบ คือสิ่งทดสอบ
ทดสอบความหลงในรูป
หลงในเวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
หลงในรูปกายนี้ – ในอาการ 32ธาตุ 4 – ดิน น้ำ ลม ไฟ
ในความเน่าเหม็นนี้ว่า.. เป็นเรา เป็นของเรา
แบกรับเอาไว้ ดูแลไว้ด้วยความทุกข์ยากลำบาก
ดิ้นรน เสาะแสวงหาทุกสิ่งมา
— เพื่อที่จะได้มาดูแลกายนี้.. ให้สุขให้สบาย
แต่สุดท้าย.. กายนี้ก็แค่แตกดับไป – ตามรอบของกรรม
สิ้นสุดไปตามเหตุที่หมดเหตุในกายนี้นั้น ความตายก็เข้ามาถึง
ทุกอย่าง.. ก็จบสิ้นลงที่ความตาย
เช่นนี้ละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย..กายจึงเป็นบททดสอบ ลูก
ต่อไป ธรรมในประการที่ 4 —
ให้ลูกทั้งหลาย.. ทำความเข้าใจอย่างนี้ว่า
บุคคลอันเป็นที่รักที่พอใจทั้งหลายเหล่านั้น คือ บททดสอบ
บุคคลทั้งหลายเหล่านั้น ที่เรารัก – ที่รักเรา
ที่พัวพันเกี่ยวข้องกันมา – ด้วยกรรมที่มีต่อกัน
คือ เคยเวียนว่ายตายเกิด / เคยมีกรรมที่ดีต่อกันมา
— ทำให้รัก ทำให้ผูกพัน —
บุคคลทั้งหลาย.. ที่เกิดร่วมครอบครัวเดียวกัน
เกิดมาเป็นลูกของบิดามารดาบ้าง
เกิดมาเป็นผู้ที่จะต้องเป็นบิดา มารดา – ให้กำเนิดแก่ผู้อื่นบ้าง
ทุกสรรพสิ่งก่อเกิดขึ้น พัวพัน ผูกพันกันเป็นสายใย
ทำให้เราเกิดความรัก ความปรารถนาที่จะ
– ให้คนทั้งหลายเหล่านั้น.. เป็นสุข
– ให้คนทั้งหลายเหล่านั้น.. เป็นเช่นนั้น –ไม่ให้เป็นเช่นนี้เป็นต้น
แต่ลูกเอ๋ย.. การพัวพันกัน ก็ด้วยการหลงในกาย หลงในตัวในตน ในของของตน
หลงว่า.. นั่นคือ พ่อแม่พี่น้องแห่งตน
ความจำ – จำได้หมายรู้
หลงเกี่ยวพันกันมา หลายภพหลายชาติ ผูกพันกันมา
และหาที่สิ้นสุดแห่งภพชาติไม่ได้ ไม่มี !!
พระพุทธเจ้าน้อยเอย.. ฉะนั้นแท้จริงลูกทั้งหลาย ก็ผูกกันไว้ ด้วยความหลง
หลงในกันและกัน
หลงในตัวตนของกันและกัน
ผูกกันไว้ด้วยความรัก
ผูกกันไว้ด้วยความพอใจซึ่งกันและกัน
… ก็เลยทำให้เป็นบททดสอบด้วยเช่นเดียวกัน
เกิดความรัก เกิดความหวง
เกิดความปรารถนา อยากได้ อยากมี อยากให้เป็นเช่นนั้น เช่นนี้
— ก็เลยก่อให้เกิดการสร้างกรรมที่ไม่ดีบ้าง / สร้างกรรมที่ดีบ้าง
ดิ้นรนกันไป ยึดติดกันไป.. เช่นนี้
ฉะนั้น.. ความหลง ความรัก ความยึดซึ่งกันและกันในบุคคลทั้งหลาย – อันเป็นที่รัก
— ก็เป็นบททดสอบ ลูก +
เพราะแต่เดิมแล้ว ลูกไม่ได้มีกันและกัน
แต่ความหลง ความรัก — พาให้มาผูกกัน ให้มีกันและกัน
และต่อไป ในอนาคต — ลูกก็จะไม่มีกันและกัน
เพราะว่า.. เมื่อถึงเวลา ก็ต้องแยกย้ายจากกันไป
เมื่อฉากละครชีวิตจบลงแล้ว..
บทบาทของลูก ของพ่อ ของแม่
ของพี่น้อง ญาติสนิทมิตรสหาย
บุคคลอันเป็นที่รักทั้งหลาย..
— ก็จะต้องจบจากละครนั้น แยกย้ายกันไป
ไม่เหลือความเป็นญาติมิตร เป็นพี่เป็นน้อง..
แล้วก็เกิดใหม่ ในภพใหม่ หาพี่หาน้องใหม่
… ก่อเกิดใหม่ พัวพันใหม่ อยู่ร่ำไป ++
ฉะนั้นบุคคลอันเป็นที่รักทั้งหลาย.. จึงเป็นบททดสอบให้เราสามารถทำอะไรได้มากมาย
บางทีก็เป็นกรรมชั่ว
ทำเพื่อที่จะได้ให้คนที่รักทั้งหลาย..ได้เป็นสุขตามที่เราคิดว่าจะสุข
บางทีก็ดิ้นรนขวนขวาย ทำในสิ่งที่ดี ตามรูปแบบสมมุติในวัฏสงสาร
— เพื่อให้พวกเขาทั้งหลาย..เป็นสุข ให้เขาสุขสบาย
และเราก็ต้องคอยเป็นทุกข์ เมื่อต้องพลัดพรากจากกันไป
— เป็นสิ่งที่ฝืนไม่ได้ !
นี่ละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย..
รวมถึงความรัก ยังทำให้เรานี้ ติดอยู่กับกับดักแห่งความรัก ความยึดมั่นถือมั่น
ความลุ่มหลงในตัวตนของกันและกัน ทำให้ไม่สามารถทำอะไรไปได้เลย
ในที่สุด ก็พัวพันกันอยู่จนจบเกมๆนี้
แล้วก็มาเริ่มเกมใหม่
แล้วก็พัวพันกันอยู่อย่างนี้อยู่ร่ำไป…
ฉะนั้น.. จงคลายความยึดติดเหล่านี้ — ด้วยการรู้และเข้าใจตามความเป็นจริงว่า..
สิ่งที่ผูกเราเอาไว้ด้วยกันนี้..
คือ ความหลง
คือ ความรัก
คือ ความยึดติด
ควรที่จะเห็นตามความเป็นจริงว่า.. เมื่อเราเกิดมาอยู่ร่วมกันแล้ว
บททดสอบของมัน ก็คือต้องมีความรับผิดชอบตามหน้าที่ของเรา
คือ..
เป็นพ่อแม่ – ก็เป็นพ่อแม่ที่ดี
เป็นลูก – ก็เป็นลูกที่ดี
เป็นพี่เป็นน้อง
— อยู่ในตำแหน่งใด จงทำตำแหน่งนั้น.. ให้ดี ให้สมบูรณ์ —
แต่จงคลายความยึดความหลง ที่เกาะเกี่ยวกันอย่างแน่นหนาอยู่ในจิต
จนเมื่อถึงเวลาต้องพลัดพรากจากกัน.. ต้องกลายเป็นทุกข์
จงคลายความหลง ความยึดติด ที่จะรักจนไปเบียดเบียนผู้อื่น
เพื่อให้บุคคลผู้นั้น..ได้เป็นสุขตามที่เราคิด
แล้วสุดท้าย.. เราก็ต้องตกต่ำ – เขาก็ต้องตกต่ำ !!
ฉะนั้น.. จงรักษารากฐานของความดีเอาไว้ — แต่จงเป็น
* ความดีที่รู้ตื่น
* เป็นความดีที่ไม่ลุ่มหลง
* เป็นความดี ที่สักแต่ว่าดำเนินไป ดูแลกันไป
— โดยความดีนั้น ปราศจากการยึดติด —
… แล้วลูกก็จะผ่านบททดสอบ จากบุคคลอันเป็นที่รักที่พอใจทั้งหลาย..
ต่อไป ธรรมในประการที่ 5 —
สิ่งของ ข้าวของ อันเป็นที่รักทั้งหลาย
ก็เป็นบททดสอบ.. ลูกเอ๋ย
เมื่อเรารักในสิ่งของที่เป็นวัตถุ เป็นสิ่งของ เป็นข้าวของ –หลงใหลในสิ่งนั้น
เช่น บ้านเรือน รถรา
หรือว่าสิ่งสวยงามละเอียดประณีตต่างๆ ทั้งหลาย
หลงติดอยู่ในสิ่งเหล่านั้น..
เราก็จะดิ้นรนขวนขวายทำกรรม เพื่อที่จะได้สิ่งนั้น
ทั้งกรรมดีบ้าง กรรมไม่ดีบ้าง – ดิ้นรนเพื่อให้ได้มา
พอได้มาแล้ว ก็อยากให้มีอยู่ – ไม่อยากให้ดับไป
อยากให้คงสภาพไว้
มีแล้ว – ก็อยากให้มีเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆไป
จึงเป็นเหตุที่ทำให้ลูกทั้งหลาย..ก่อเกิดความทุกข์
ก่อเกิดความหลงในรูป
หลงในรูปที่เป็นวัตถุ สิ่งของข้าวของ
หลงในสิ่งต่างๆทั้งหลาย.. ที่ได้มา ที่มี ที่เป็นอยู่
ที่อยากจะได้ อยากจะมี อยากจะเป็นเพิ่มอีก
สิ่งต่างๆทั้งหลาย.. จึงเป็นสิ่งทดสอบ เป็นบททดสอบลูก
จงมีแต่เพียงพอดี -ตามเหตุตามปัจจัย
มีอย่างมีสติรู้ตื่น รู้เท่าทัน
จงอย่าตกเป็นทาสแห่งสิ่งของข้าวของ วัตถุสิ่งของข้าวของต่างๆ – จนตนต้องตกต่ำ
ด้วยการลุ่มหลงพัวพัน จนสร้างกรรมที่ไม่ดี
ยึดติด จนไม่สามารถเห็นความสุขที่แท้จริง ที่เกิดขึ้นภายในได้.. ลูกเอ๋ย
เพราะสิ่งของทั้งหลาย.. ก่อนหน้านั้น ก็ไม่มี
เมื่อเรานี้ดิ้นรนให้มีมา — เรานี้ก็ยึดถือว่า.. มี
แต่อีกหน่อย คนที่อยากได้.. ก็จะไม่มี !!
สิ่งของที่อยากได้.. ก็จะไม่มี
ทุกอย่าง กำลังดำเนินไปหาความว่างเปล่า คือความไม่มี
ในที่สุดแล้ว..
ทุกสรรพสิ่งในวัฏสงสารนี้ ล้วนแต่ไม่มี
ทุกสรรพสิ่งในวัฏสงสารนี้- ไม่ว่าจะเป็นตัวบุคคล หรือสิ่งของข้าวของก็ตาม.. ลูกเอ๋ย
— ล้วนแล้วแต่สูญสลาย กลับคืนสู่ความว่าง ความไม่มี —
เพียงแต่สิ่งนี้หายไป เริ่มจะหายไป
สิ่งโน้นก็ก่อเกิดขึ้น เริ่มจะก่อเกิดขึ้น– เข้ามาแทนที่กันใหม่
คนยุคนี้ – ตายกันไป
คนยุคใหม่ – แทรกกันก่อเกิดขึ้นมา เติบโตขึ้นมา
– แก่ เจ็บ ตามกันไป ตายตามกันไป..
จึงทำให้เหมือนว่า มีอยู่ เป็นอยู่
แต่แท้ที่จริงแล้ว คือ ภาพหลอกลวง ภาพมายาทั้งนั้นละ ลูก
สิ่งนี้ – แทรกเกิด
สิ่งนั้น – แอบดับไป
สิ่งนั้น แทรกเกิดมา สิ่งโน้นก็แอบดับไป
— โดยที่เรานี้ไม่ทันได้สังเกต ไม่มีสติรู้ทัน รู้ตาม —
จึงก่อให้เกิดความลุ่มหลงในตัวบุคคล คือ
ตัวเรา – ตัวเขา
สิ่งของของเรา – สิ่งของของเขา
สิ่งนั้น – สิ่งนี้
— ไล่ตามมันไปเรื่อยๆ
ยุคแล้วยุคเล่า ภพชาติแล้วภพชาติเล่า
… ก็ดำเนินกันไปเช่นนี้ วิ่งตามสิ่งใหม่ๆกันไปเช่นนี้..
สุดท้ายแล้ว ดวงจิตทั้งหลาย.. ก็พบแต่ความว่างเปล่าในวัฏสงสารนี้ !
เช่นนี้ละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย..
ลูกทั้งหลาย.. ควรที่จะทำความเข้าใจ ให้รู้ตื่นเช่นนี้
แล้วลูกจะเข้าใจตามความเป็นจริงเห็นบทสอบ
แล้วจะสามารถทำแบบทดสอบนั้นได้ผ่าน
– จนได้คะแนนมาก
– จนเข้าสู่พระนิพพานได้ +
อยู่กับโลกที่เป็น..
* โลกแห่งความจริง
* โลกที่เที่ยงแท้
* โลกที่ไม่เวียนว่ายตายเกิด
* โลกที่ไม่เป็นทุกข์
เช่นนี้ละ.. ลูกเอ๋ย
ต่อไป ธรรมในประการที่ 6 —
สิ่งที่เรียกว่า ความสุข – ในแบบของวัฏสงสารนั้น ก็คือบททดสอบ ลูก
ในวัฏสงสารนี้ – เขาก็จะสร้างสิ่งที่หลอกเราว่า นั่นละ คือ สุข
วางเป็นกับดัก
วางเอาไว้ให้เรานี้ ติดหลงอยู่ในกับดักเหล่านั้น..
หลงเพลิดเพลินว่า การมีความรัก – ที่แท้นั่นคือความสุข
แต่ในความเป็นจริงแล้ว – มันคือทุกข์ ที่มีอยู่ในวัฏสงสาร!
หลอกให้เราหลงคิดว่า
การได้สิ่งนั้น มีสิ่งนี้
การเป็นเช่นนั้น เช่นนี้.. มีความสุข
แต่ที่จริงแล้ว.. เมื่อได้ เมื่อมีมา — ก็เป็นเพียงแค่สุขจอมปลอม
เราก็ต้องดิ้นรนหาต่อไป
เมื่อสิ่งเหล่านั้น.. ดับไป หายไป พลัดพรากจากเราไป
เราก็กลายเป็นทุกข์มากยิ่งกว่าหลายเท่ากับความสุขที่เราได้รับมา !!
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ฉะนั้น ความสุขจอมปลอม ในรูปแบบของวัฏสงสาร
ที่เขาก็สร้างมาให้เรานี้หลงติดอยู่กับกับดัก ในความสุขของความไม่เที่ยงแท้
ทำให้เรานี้ ติดอยู่ตรงนี้ด้วย ลูก ++
ฉะนั้น.. อย่าหลงสุข ในวัฏสงสารเลย
เพราะสุขในวัฏสงสาร
เป็นสุขที่เจือปนด้วยความทุกข์ซ่อนด้วยทุกข์
เป็นความสุข – ที่ไม่เที่ยงแท้
เป็นความสุข – ที่เอาไว้หลอกบุคคลผู้มักง่าย ในการหาความสุขนั้น
— ลุ่มหลง เพลิดเพลินอยู่
— หลงเวียนว่ายตายเกิดอยู่
จนหาความสุขที่แท้จริงไม่ได้ ไม่เจอ เท่านั้นละลูก ++
ฉะนั้น.. จงค้นให้พบความสุขที่แท้จริง ที่เกิดขึ้น มีอยู่ในตน
ค้นพบความสุขที่แท้จริง ถาวร
คือ สุขในแดนพระนิพพาน เถิดลูก
เพราะนั่นคือ.. สุขที่เที่ยงแท้ สุขที่แท้จริง
— ไม่มีเปลี่ยนแปลงไป —
ต่อไป ธรรมในประการที่ 7 —
ความทุกข์
ความทุกข์ยากลำบาก ก็คือ สิ่งทดสอบด้วยเช่นเดียวกัน.. ลูกเอ๋ย
สิ่งทดสอบ – ก่อให้เกิดความทุกข์ขึ้นมา
ความทุกข์- ก่อให้เกิดสิ่งทดสอบขึ้นมา
ทำให้เรานี้ เผชิญกับความทุกข์ในเรื่องต่างๆ
ทำให้นี้ รู้สึกแย่ รู้สึกไม่ไหว
รู้สึกที่จะต้องดิ้นรนหาสิ่งที่เป็นสุข
ยิ่งหาสุขในวัฏสงสาร – ก็ยิ่งทุกข์
ยิ่งทุกข์ – ก็ยิ่งดิ้น เพื่อที่จะหาสุข
เพราะไม่รู้ตามความเป็นจริง.. เลยหลงทุกข์อยู่เช่นนั้น
ยึดทุกข์ ว่า.. เป็นเรา เป็นตัวตนของเรา
แต่แท้ที่จริงแล้ว พระพุทธเจ้าน้อยเอย..
ทุกข์ ก็เป็นเพียงสภาวธรรมแห่งสมมุติ
เราไม่ควรที่จะหลงยึดทุกข์นั้น – มาเป็นเรา เป็นตัวตนของเรา
จงสักแต่ว่า เห็นทุกข์เหล่านั้นดำเนินไปตามเหตุ
… เช่นนั้น อย่างนั้นเถิด.. ลูกเอ๋ย
เมื่อลูกไม่ลุ่มหลงอยู่ในบททดสอบคือ สุขและทุกข์แล้ว
ลูกก็จะสามารถทำแบบทดสอบได้ดี สามารถทำคะแนนได้มาก
และเข้าถึงพระนิพพาน
คือ เจอกับสุขที่แท้จริง
เพราะลูกเห็นสุข – เห็นทุกข์ในวัฏสงสาร –ตามความเป็นจริงในแบบของวัฏสงสาร
ไม่ยึดเป็นเรา เป็นตัวตนของเรา
ลูกจะพบความสุขที่แท้จริง ในดวงจิตของลูก
— จะเข้าถึงพระนิพพาน ++
พระพุทธเจ้าน้อยเอย..ก็ด้วยว่า..
ดวงจิตในวัฏสงสารนี้.. หลงสุข หลงทุกข์กันอยู่
จึงดิ้นกันอยู่ตรงนี้ หาที่สิ้นสุดไม่ได้ ไม่เจอ ลูก
ดวงจิตในวัฏสงสาร แบ่งออกมาได้หลายกลุ่ม ก็คือ..
กลุ่มที่ 1 – เขาก็ต้องการความสุข เขาก็ไม่ปรารถนาความทุกข์
เพราะเขาอยู่เหนือทุกข์ เหนือสุขไม่ได้
— จึงทำทุกวิถีทางให้สุข -โดยไม่รู้ตามความเป็นจริง
— จึงทำในสิ่งที่ไม่ดี เพื่อให้ตัวเองเป็นสุข
ในที่สุด.. ตนก็กลายเป็นทุกข์ไป
ยิ่งทำชั่วเท่าไร — ก็ยิ่งจมปลักไปสู่ความทุกข์ที่ลึกขึ้นมากเท่านั้น
… จนกลายเป็นมาร เป็นฝ่ายที่ไม่ดีไป
นั่นก็คือ กลุ่มดวงจิตที่เขาต้องการความสุขเหมือนกันละลูก
เขาก็กลังความทุกข์ หาความสุข
— แต่เขาหาความสุขในรูปแบบที่ไม่ถูกต้อง —
ในที่สุด.. เขาจึงกลายเป็นพญามารไป!!
กลุ่มดวงจิตที่ 2 – เขานั้น ก็ดิ้นรนหาความสุขเหมือนกันละลูก
เขาอยากได้ความสุข กลัวความทุกข์
เขาจึงสร้างสิ่งที่ดี สร้างบุญสร้างบารมี เพื่อที่จะได้ดี
เขานั้นทำได้ — เขาก็ไปอยู่ในเมืองสวรรค์ ในโลกที่เป็นสุข
เกิดมาเป็นมนุษย์.. ก็เป็นสุขสุขสบายในรูปแบบของมนุษย์
และเป็นในรูปแบบของวัฏสงสาร
คือ ตามธรรมชาติแห่งสุขในวัฏสงสารนี้น่ะลูก
ทีนี้ เขาก็สร้างความดีให้มากเหมือนกัน
— เพื่อให้เขาได้รับสิ่งที่เป็นสุขจากสมมุติทั้งหลาย..
คือการเสวยสุขอยู่ในสวรรค์/ เสวยสุขอยู่ในโลกมนุษย์
— แต่นั่นก็ไม่ใช่สุขที่เที่ยงแท้!
ในที่สุด.. เขาก็ต้องดิ้นรนอยู่ตลอด ทำแบบทดสอบตลอด
เมื่อเขานั้นไม่ผ่านแบบทดสอบสิ่งใดสิ่งหนึ่ง– ก่อให้เกิดกรรมชั่ว
เขาจึงไม่พ้นการลงสู่นรกอเวจี
แล้วค่อยกลับขึ้นมาทดสอบใหม่ เริ่มใหม่ ทำดีใหม่
หลงสุขอยู่ในวัฏสงสารนี้.. จึงไม่พ้นทุกข์อย่างแท้จริง ลูก
จึงเวียนว่ายตายเกิดอยู่
เป็นกลุ่มดวงจิตที่ได้มาด้วย..มนุษย์สมบัติบ้าง สวรรค์สมบัติบ้าง
และเมื่อทำกรรมชั่ว ผิดพลาด — ก็ลงสู่นรกอเวจีบ้าง
กลุ่มดวงจิตนี้ เขาก็หาความสุขนั่นละลูก
— เพียงแต่ว่า.. เขาก็หาเจอสุขที่เป็นสุขจอมปลอม!!
ต่อไป กลุ่มที่ดวงจิตกลุ่มที่3 – คือ กลุ่มดวงจิตที่เขานั้น บำเพ็ญบารมี เพื่อหาความสุข
และหาให้เจอสุขที่แท้จริงด้วย *
เช่น องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย
องค์พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย
องค์พระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย
ท่านบำเพ็ญบารมี สั่งสมความดีมา
ขัดเกลากิเลสตัณหา
ฝึกฝนตนเอง ให้มีจิตที่ตั้งมั่น
มีภูมิคุ้มกันต่ออำนาจแห่งกิเลสตัณหา
ทำแบบทดสอบต่างๆ ผ่านทั้งหมด.. จน
— เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
— เป็นผู้เข้าสู่พระนิพพาน – พบสุขที่แท้จริง *
จึงมีกลุ่มดวงจิต ที่ก็ตามหาความสุขเหมือนกัน
— แต่ตามหาเจอ เจอสุขที่แท้จริง.. จึงไปสู่พระนิพพาน ++
ฉะนั้น.. ดวงจิตทั้งหลาย ในวัฏสงสารนี้
ย่อมเป็นผู้..
หลงทุกข์ คือ กลัวทุกข์นั้นยึดทุกข์นั้น มาเป็นเรา เป็นของเรา
หลงสุข คือ ปรารถนาจะได้ความสุข
แต่ขึ้นอยู่กับว่า รูปแบบของการหาความสุขของแต่ละคน.. จะเป็นแบบไหน +
คนที่ทำกรรมชั่ว — เขาก็เข้าใจว่า การทำเช่นนั้น.. จะทำให้เขาเป็นสุข – เขาจึงได้ทำ
เขาต้องการความสุข และต้องการพ้นทุกข์ นั่นละลูก
— แต่ทำด้วยวิธีที่ผิด
คนที่เขานั้นทำความดี หลงในความดีในวัฏสงสารนี้ อยากได้ดีในรูปแบบของสมมุติ
— เขาก็เลยสร้างความดี ดิ้นรนกันไป
ขวนขวายเสาะแสวงหาสิ่งดีๆ ละเอียดประณีตต่างๆเข้ามาหาเรา – สิ่งที่ดี
และยึดความดีเหล่านั้นไว้…
นั่นก็เพราะว่า.. เขาต้องการความสุข นั่นละลูก
เขาก็เลยเจอสุขจอมปลอมในวัฏสงสารหลอกล่อให้ยึดติดอยู่ในนี้
แต่กลุ่มที่เป็นกลุ่มแห่งพุทธะคือ จิตที่รู้ตื่น เบิกบานแล้ว คือ ดวงจิตแห่งองค์พระพุทธเจ้า
องค์พระปัจเจกพุทธเจ้า และองค์พระอรหันต์ทั้งหลาย
คือ ดวงจิตที่หาสุข เช่นกันน่ะลูก แต่หาสุขที่เที่ยงแท้
จึงเลือกที่จะดำเนินอยู่บนเส้นทางแห่งการฝึกฝนเจียระไนตน
… ให้จิตของตนเข้าถึงพระนิพพาน ที่ที่เป็นสุขอย่างแท้จริง ++
ฉะนั้น.. จิตทั้งหลาย จึงแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม
กลุ่มที่เลือกทำชั่ว – เพื่อจะได้สุข แต่สุดท้ายก็กลายเป็นมาร และทุกข์ยาวนาน
กลุ่มที่เลือกที่จะหาสุข– ด้วยการสร้างความดีเล็กน้อย ยึดถือในความดีเหล่านั้น
ลุ่มหลงในความสุขจอมปลอมเหล่านั้น..
สุดท้าย.. ก็ไม่พ้นจากอำนาจของความไม่เที่ยงแท้ ไม่จีรังยั่งยืน
เจอสุขที่เป็นสุขจอมปลอม
เพราะเมื่อเสื่อมจากสุขเหล่านั้นแล้ว — กลายเป็นทุกข์มากมาย
มากยิ่งกว่าตอนที่สุขอีกหลายเท่า !!
… ก็เลยจมอยู่ เวียนว่ายกันอยู่อย่างนี้ ++
กลุ่มที่ 3 – ก็คือ กลุ่มที่หาความสุขที่แท้จริงเจอ
และก็เข้าสู่พระนิพพานกันไป…
เช่นนี้ละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย..
ผู้ที่เล่นเกมชีวิตทั้งหลาย.. เขาก็เล่นเกมไปตามที่เขารู้เขาเข้าใจ
รู้แบบไหน เข้าใจแบบไหน.. ก็ทำแบบนั้น
ตนก็ได้รับผล – ตามที่ตนทำไป
ฉะนั้น.. การที่ลูกได้ทำความเข้าใจถึงแผนที่ในวัฏสงสาร
เข้าใจความเป็นอยู่และกฎแห่งวัฏสงสารแล้ว..
— ลูกก็จงทำความเข้าใจถึงบททดสอบ สิ่งทดสอบต่างๆที่มีอยู่
… เพื่อให้ลูกได้รู้เท่าทัน รู้ตาม..
จงทำความเข้าใจ ในเรื่องของกิเลสตัณหาว่า คือ บททดสอบ
จงทำความเข้าใจ ในเรื่องของกรรมทั้งกรรมเก่า- และกรรมใหม่ ว่าเป็นบททดสอบ
จงทำความเข้าใจ ในเรื่องของร่างกาย ว่า กายนี้ คือบททดสอบ
จงทำความเข้าใจ ในเรื่องของบุคคลอันเป็นที่รักทั้งหลาย ว่าเขาทั้งหลายเป็นบททดสอบ
จงทำความเข้าใจว่า สิ่งของอันเป็นที่รักที่พอใจทั้งหลาย นั่นเป็นบททดสอบ
จงทำความเข้าใจว่า ความสุขหรือการหลงติดสุขในวัฏสงสารนี้นั่นก็คือบททดสอบ
จงทำความเข้าใจว่า การหลงติดอยู่กับความทุกข์ คือ ทุกข์ในวัฏสงสารนี้
– ยึดมาเป็นเรา เป็นตัวตนของเรา– นั่นก็คือ บททดสอบ
ลูกทั้งหลาย.. จงทำความเข้าใจถึงบททดสอบ ทั้ง 7 ประการนี้
และระมัดระวัง ทำให้อยู่เหนือ ทำให้รู้ตื่น ทำให้เข้าใจ
และลูกก็จะสามารถเป็นผู้ชนะในเกมชีวิตได้ ลูก
พอจะเข้าใจบ้างแล้วหรือยังเล่าพระพุทธเจ้าน้อยเอย..
จงกล่าวธรรมนั้นมาเถิด.. ลูกเอ๋ย
+ +
พระพุทธเจ้าน้อย :: สาธุ พระพุทธเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณในความเมตตาของพระพุทธองค์
เมื่อพระองค์ทรงเมตตาแสดงธรรมอธิบายนี้ให้ลูกได้ฟังแล้ว
ลูกก็พอจะเข้าใจแล้วว่า..สิ่งทดสอบ บททดสอบต่างๆในวัฏสงสารนี้
ที่ลูกทั้งหลาย.. จะต้องก้าวข้ามไป ก็คือ
การที่ลูกนั้นจะต้องข้ามความหลง ความรักความโลภ และความโกรธ
/ ความอยาก และความไม่อยาก
ข้ามความรู้สึก ข้ามอำนาจของสิ่งเหล่านี้ไปให้ได้ ++
ลูกก็จะสามารถผ่านบททดสอบ ที่ 1
เมื่อลูกทั้งหลายทำความเข้าใจเรื่องของกรรม
ว่า กรรมเก่าส่งผลมา กรรมใหม่เป็นตัวกำหนด
และให้อยู่เหนือทั้ง
กรรมดี – กรรมชั่ว
กรรมเก่า – กรรมใหม่
— ลูกก็จะผ่านบททดสอบ —
ให้ลูกทั้งหลาย.. เข้าใจว่า
การที่เราหลงติดอยู่ในร่างกาย รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณนี้
ยึดว่า เป็นเรา เป็นตัวตนของเรา
— เราก็จะไม่ผ่านบททดสอบ !!
แต่หากว่า เราเข้าใจตามความเป็นจริง
อยู่เหนือรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
อยู่เหนือกายแล้ว
— เราก็จะผ่านบททดสอบ —
การที่เราหลงติดอยู่กับบุคคลที่รักที่พอใจทั้งหลาย.. จนเรานี้สร้างกรรม เบียดเบียนผู้อื่น
หลงยึด หลงรัก จนก่อให้เกิดความทุกข์แก่เรา
การเบียดเบียนตน เบียดเบียนผู้อื่น
— นั่นก็คือ บททดสอบ —
และการที่เรา ไม่มีการเมตตาช่วยเหลือโดยหน้าที่ – ทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์
— นั่นก็ถือว่า เราพลาดไปทำกรรมไม่ดีกับพวกเขาด้วย
ก็คือ บททดสอบด้วยเช่นเดียวกัน —
ฉะนั้น.. บุคคลอันเป็นที่รักทั้งหลาย.. จึงเป็นบททดสอบ
เราจงรู้ตื่น ทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์
— แต่อยู่เหนือความยึดติด
— อยู่เหนือการที่เรานี้ จะไปสร้างกรรม ทำสิ่งที่ไม่ดี.. เพื่อให้บุคคลเหล่านั้นได้ดี
ทำให้เราตกต่ำ ทำให้เขาตกต่ำ
สิ่งนั้น เราก็จะสามารถที่จะเป็นผู้ที่ทำแบบทดสอบได้ หากว่าเราข้ามสิ่งเหล่านั้นได้ —
และสิ่งของอันเป็นที่รักที่พอใจทั้งหลาย ก็คือ บททดสอบ
— เราจงลดละความลุ่มหลงในสิ่งของข้าวของต่างๆ —
ความสุข -ความทุกข์ในวัฏสงสารก็คือ บททดสอบ
จงฝึกจิตของตน.. ให้อยู่เหนือสภาวะเหล่านี้
เราก็จะสามารถเป็นผู้ชนะในเกม
หรืออย่างน้อย ถ้าอยู่เหนือไม่ได้
เราก็จงรู้เท่าทัน และทำให้ดีที่สุด
เพื่อจะได้เก็บคะแนนในการเล่นเกมชีวิต ให้ได้มากที่สุด
และสั่งสมไปเรื่อยๆ.. จนกว่าจะเต็ม
— และจะเป็นผู้ชนะได้ในที่สุด ++
… ลูกพอจะเข้าใจเช่นนี้ อย่างนี้แล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณในความเมตตาของพระพุทธองค์ นะเจ้าคะ
วันนี้ ลูกต้องกราบขอลาก่อน เอาไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ พระพุทธเจ้าค่ะ…
สาธุ