มหาจักรวาลในเกมชีวิต

ธรรมะธรรมจักรกึ่งพุทธกาล วันที่ 11 เมษายน 2565
บทที่ 86 **มหาจักรวาลในเกมชีวิต**
+ +

ในเช้าของวันที่11เมษายน พ.ศ. 2565 ณ มหาวิชชาลัยธรรมิกราช
เมื่อท่านพระพุทธเจ้าน้อยได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่าน เพื่อเฝ้าฟังธรรมแล้ว จึงได้นอบน้อมเฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า…

“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
เราจะเริ่มต้นทำความเข้าใจในเรื่องของเกมชีวิต การออกจากวัฏสงสาร
การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้ — แบบไหน ยังไงหรือเจ้าคะ ?

ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนั้นให้ลูกได้ฟังได้พิจารณาตามด้วยเถิด
พระพุทธเจ้าค่ะ ”
– – – –

พระพุทธองค์ :: เอาละนะ พระพุทธเจ้าน้อยเอย..
ถ้าอย่างนั้นลูกทั้งหลาย.. ก็จงทำจิตให้สบาย ทำใจให้สงบตั้งมั่นเสียก่อน
ชาร์จพลัง เติมพลังเข้าไปในจิตของลูก
ปล่อยจิตให้เบาๆ สบายๆ
เก็บความรู้สึกที่เย็นสบาย เข้าไปสู่ในจิตของลูกจนหมด

จิตของลูก.. จะตั้งมั่นสงบ สว่างไสว
ปราศจากความคิด การปรุงแต่งต่างๆ
ไม่มีอะไรต้องเป็นอะไรทั้งหมด

จนจิตของลูกละเอียดมากพอ มีพลังมากพอ
จึงค่อยๆพิจารณาตามเสียงธรรมที่ได้ยินได้ฟังไป- แบบเป็นกลางๆ แบบสบายๆ

ฟังไปเฉยๆ เหมือนเด็กฟังนิทานเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง
โดยที่ไม่ต้องไปคิดว่า.. จริง-ไม่จริง ใช่-ไม่ใช่ถูก-หรือผิด
ฟังไปเฉยๆ

หรือเปรียบเสมือนเด็กคนหนึ่ง ที่กำลังจะเล่นเกมๆหนึ่ง
— เขาจำเป็นจะต้องรู้กฎของเกม -ในเกมๆนั้น

รู้กฎ รู้กติกา รู้สภาวะแห่งเกมๆนั้น ว่า.. เป็นแบบไหน เป็นยังไงบ้าง
เพื่อเขาจะได้เข้าใจในกฎเกม เข้าใจในกติกา
และสามารถที่จะเล่นเกมๆนั้นได้ชนะ

ฉะนั้นลูกทั้งหลายเอ๋ย.. เราเป็นหนึ่งในบุคคลผู้ที่ต้องเล่นเกมชีวิต
แต่เราไม่ใช่ผู้สร้างเกมหรือสร้างรูปแบบของเกมชีวิตขึ้นมา
เราจึงไม่อาจรู้และเข้าใจ
นอกจากการที่เราต้องทำความเข้าใจ – ตามสภาวะที่เขามีอยู่ เป็นอยู่

เปรียบเสมือน ถ้าหากว่าเราเป็นผู้ที่สร้างเกมๆนั้นขึ้นมา
เราก็คงจะเข้าใจถึงกติกา เป็นอย่างดี

— แต่นี่เรา..
คือผู้เล่น
คือ หนึ่งในตัวที่อยู่ในเกมนั้น ตัวละคร หรือผู้เล่นเกมๆนั้น เท่านั้น

ฉะนั้น.. การที่ถ้าหากว่า เราจะเล่นเกมชีวิตนี้ให้ชนะได้
สามารถที่จะทำคะแนนให้กับตนได้สูงสุด
ปลดล็อคตนเองได้ เอาตนออกจากวัฏสงสารนี้ไป
เป็นผู้ชนะในเกมชีวิตอย่างแท้จริง เด็ดขาด ถาวรแน่นอน

เราจึงจำเป็นที่จะต้องฟัง
จำเป็นที่จะต้องรู้ตาม เห็นตาม เข้าใจตามไป -โดยที่ไม่ต้องออกความคิดเห็นอะไรทั้งหมด
… มีหน้าที่เพียงแค่ทำความเข้าใจตามเท่านั้น…

และเกมที่องค์พระพุทธเจ้าจะชี้ทางให้เห็นดังต่อไปนี้นั้น
คือ เกมแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ของดวงจิตทั้งหลาย..ที่อยู่ในวัฏสงสารนี้

ทุกคนเกิดขึ้นแล้ว.. จะต้องดำเนินไป ดิ้นรนไป เวียนวนกันไป
หาทางสิ้นสุดไม่ได้

ซึ่งองค์พระพุทธเจ้า.. ก็ไม่ใช่ผู้สร้างเกมๆนี้ขึ้นมาหรอกลูก
แต่เป็นผู้ที่ได้ฝึกฝนมาอย่างดี ด้วยการสั่งสมบารมีมา
* จนตรัสรู้ธรรมด้วยพระองค์เอง -เป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หนึ่งพระองค์ *

แล้วการตรัสรู้ธรรมด้วยพระองค์เอง ด้วยการบำเพ็ญบารมีนั้น..
— จึงถือเป็นผู้ชนะในเกมที่สามารถที่จะพาคนอื่นๆ ดวงจิตอื่นๆ ที่รู้ตาม เห็นตามเข้าใจตาม
– ออกจากเกมได้ด้วย ++

ฉะนั้น วันนี้.. องค์พระพุทธเจ้ากำลังจะชี้ทางบอกทางให้ลูกทั้งหลาย.. ได้เข้าใจเกมชีวิต
ได้ทำความเข้าใจ
เริ่มตั้งแต่โครงสร้างของมหาจักรวาล วัฏสงสารนี้เสียก่อนลูก

ในประการที่ 1 —
ลูกจงทำความเข้าใจเช่นนี้ อย่างนี้ว่า..
โลกในมหาจักรวาลนั้น.. มีทั้งหมด 7 โลก
… มีอยู่ในทิศเบื้องบนสูงสุด จนถึงทิศเบื้องล่างต่ำสุด..

ซึ่งในทิศเบื้องบน สูงสุดขึ้นไปทางขวามือ.. จะมีโลกอยู่โลกหนึ่ง ชื่อว่า
โลกแห่งการก่อเกิดดวงจิต
ซึ่งโลกใบนี้จะมีสภาวธรรมของธาตุอากาศดิน น้ำ ลม ไฟ- ที่มีความร้อนอบอ้าว
จนทำให้ดวงจิตก่อเกิดขึ้นได้ โดยธาตุอากาศ ดิน น้ำ ลม ไฟ ในที่แห่งนั้น ..
จึงก่อเกิดเป็นดวงจิตพวกเราขึ้นมามากมาย – ในโลกใบนั้น…

แต่ในสถานที่นั้น ร้อนอบอ้าว แออัด
และไม่เป็นที่เหมาะแก่การอยู่การอาศัย
จึงมีโลกอีกโลก ซึ่งอยู่ตรง สูงขึ้นไป ตรงขึ้นไป
ก็คือ โลกแห่งเมืองสวรรค์
– ซึ่งตั้งอยู่ศูนย์กลางของจักรวาล ทิศเบื้องบน –

ก็คือ โลกที่มีความละเอียดประณีต
โลกที่มีความสุข ความสบาย
โลกใบนั้น.. มีความเป็นทิพย์ที่สูง

ดวงจิตผู้เข้าไปอยู่ในโลกใบนั้น.. ย่อมจะมีกายทิพย์สวยงามละเอียดประณีตยิ่งนัก
ดวงจิตทั้งหลาย.. จึงได้ถ่ายเทจิตออกไปสู่โลกสวรรค์
และไปดำเนินชีวิตอยู่ในโลกสวรรค์

จึงมีโลกที่ 2- ที่เรียกว่า โลกสวรรค์นั้น
ตั้งอยู่ทิศเบื้องบนของจักรวาล วัฏสงสาร

และต่ำลงมา เฉียงออกไปทางด้านขวามือ ก็จะมีโลกอีกโลกหนึ่ง
-ซึ่งมีขนาดที่เล็กกว่าโลกสวรรค์ลงมาอยู่มาก –
แต่ก็ใหญ่กว่ามิติ หรือภูมิต่างๆ
ซึ่งสถานที่แห่งนั้น เรียกว่า โลกสร้างร่างกาย

โลกใบนี้นั้นจะมีสภาวธรรมความพิเศษของเขา ก็คือ
สามารถที่จะหล่อมหลอมสร้างร่างกายของดวงจิตทั้งหลาย.. ที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้
เหมือนเป็นสถานที่ แห่งอะไหล่ของร่างกายนี้ละ..ลูกเอ๋ย

เมื่อเราเข้าไปในที่แห่งนั้น.. ก็มีแขนขา มีหัว มีหู มีตา มีจมูก
มีอวัยวะต่างๆอยู่เต็มไปหมด เหมือนเข้าไปในบริษัทที่ผลิตอะไหล่รถยนต์
หรือว่าอะไหล่ชิ้นส่วนของโทรศัพท์
… เช่นนี้ เป็นต้น ลูก

แต่สถานที่แห่งนั้น คือ ที่ที่ผลิตชิ้นส่วนของร่างกาย
และไม่ใช่เพียงร่างกายของมนุษย์เท่านั้น..
— แต่เป็นร่างกายของดวงจิตทั้งหลายในโลกธาตุ จักรวาล วัฏสงสารนี้ —

ซึ่งในสถานที่แห่งนั้น.. ก็ไม่มีดวงจิตไปก่อเกิด หรืออาศัยอยู่ที่นั่น
เพียงแต่เป็นสถานที่ที่มีผู้คนไปเพื่อที่จะเป็นผู้ดูแลระบบการสร้างร่างกาย เท่านั้น+
ซึ่งดวงจิตเหล่านั้น.. ก็มาจากโลกสวรรค์

ถ้าเกิดว่า ดวงจิตใดจะไปเกิดในที่ไหน ต้องอาศัยร่างกายแบบไหน
มีสภาวะทิพย์ หรือสภาวะหยาบ
มีรูปร่างหน้าตาแบบไหน – ตามกรรมของดวงจิตดวงนั้น..

กายจากโลกสร้างร่างกาย.. ก็จะส่งสภาวธรรมแห่งกายนั้น ให้ก่อเกิดในดวงจิตดวงนั้น
– ตามกรรมของแต่ละดวงจิต+

เช่นนี้ละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย..ในโลกที่ 3 จึงเป็น โลกแห่งการสร้างร่างกาย

ต่อไป ลูกทั้งหลาย จงระลึกตามเช่นนี้ว่า..
ต่ำจากโลกสร้างร่างกายลงมา
ก็จะมีโลกอีกโลกหนึ่งที่ชื่อว่า โลกบาดาล
ซึ่งเป็นโลกของเหล่าพญานาคทั้งหลาย ซ้อนอยู่กับโลกมนุษย์
ก็คืออยู่ใกล้กัน และมีทางเข้าออกไปสู่กันและกัน ด้วยทางน้ำ

โลกบาดาล ก็เป็นโลกแห่งพญานาค
พญานาคทั้งหลาย.. มีทั้งสัตว์ตัวผู้ และสัตว์ตัวเมีย
มีทั้งผู้ที่เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นสัตว์เลื้อยคลานในเมืองพญานาค
และมีทั้งพญานาค ผู้บำเพ็ญบารมีมาก มีรูปกายคล้ายคลึงกับเทวดา นางฟ้า

รูปร่าง ร่างกาย.. ก็เหมือนกันกับมนุษย์เรา เพียงแต่มีความละเอียดมากกว่ามนุษย์
แต่ว่ารองลงมาจากโลกสวรรค์ จากเทวดา- นางฟ้า
สามารถมีอายุขัยที่ยืนยาว และเหาะเหินเดินอากาศได้ หายตัวได้
มีสภาวะทิพย์ที่ละเอียดกว่าโลกมนุษย์เรา

เช่นนี้ละลูก ที่นั่นจึงเรียกว่า เมืองบาดาล

และถัดจากเมืองบาดาลสูงขึ้นมานิดหน่อย ก็คือ สูงมาทางซ้ายมือ ต่อยอดขึ้นมาอีกนิดหน่อย
ซึ่งเป็นโลกที่ซ้อนโลกกันอยู่ในส่วนหนึ่ง

ซึ่งด้านทิศเบื้องบน เฉียงออกไปทางซ้ายมือนั้น ก็เป็นที่ตั้งอยู่แห่งโลกมนุษย์
ซึ่งโลกมนุษย์นี้ ก็เป็นโลกที่พวกเราอยู่กันนี้
— แบ่งออกมาทั้งหมด เป็น 4 ทวีป–
ตั้งอยู่รอบเขาพระสุเมร ลอยอยู่กลางอากาศ ใกล้วนเขาพระสุเมร.. ลูกเอ๋ย
แล้วก็ตั้งลอยอยู่ใน 4 ทิศของเขาพระสุเมร

ซึ่งในสถานที่ที่พวกเราอยู่กันนี้ เรียกว่า ชมพูทวีป
เป็นสถานที่ที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย
องค์พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย.. ลงมาเกิด

และเป็นสถานที่ที่มนุษย์ทั้งหลายสามารถเกิดมา.. เพื่อสร้างสั่งสมคุณงามความดี
สร้างบารมีให้กับตน ต่อยอดการบำเพ็ญปฏิบัติ สั่งสมความดี
… เพื่อที่จะนำพาจิตของตน ไปสู่ทิศทางที่ดี
เป็นที่ที่เรานี้สามารถที่จะเล่นเกมชีวิตนี้ได้อย่างเต็มที่ เต็มกำลัง
– ตามความรู้ความสามารถ –

และสามารถที่จะเป็นผู้ฝึกฝนเล่นเกมชีวิต สั่งสมบารมีจนเต็ม -จนชนะในเกม
โดยในสายขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า.. ก็ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
และสอนสั่งให้ผู้อื่นรู้ตาม

สามารถที่จะบำเพ็ญบารมี – เป็นองค์พระปัจเจกพุทธเจ้า
ก่อเกิดในช่วงว่างเว้นจากศาสนาของพระพุทธเจ้าหนึ่งพระองค์.. สู่อีกหนึ่งพระองค์
ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง และเกิดขึ้นทีละหลายพระองค์
— เพื่อเชื่อมต่อพลังแห่งพระพุทธศาสนา – ในช่วงว่างเว้นจากธรรมคำสอนขององค์พระพุทธเจ้า
หนึ่งพระองค์.. สู่อีกหนึ่งพระองค์ **

พระพุทธเจ้าน้อยเอย..และในชมพูทวีป ในทวีปที่เราทั้งหลายได้เกิด ได้อยู่ในที่นี้
ก็ยังคงเป็นสถานที่ที่ดวงจิตทั้งหลาย.. สามารถที่จะเลือกเล่นเกมชีวิตนี้
ปั่นรอบตามการรู้กติกาของเกม ตามคำสอนขององค์พระพุทธเจ้า
ปฏิบัติตามจนสามารถเป็นผู้ชนะในเกม ได้คะแนนสูงสุด +
คือ พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ในเกมชีวิตนี้.. เข้าสู่พระนิพพาน

เช่นนี้ละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย..
ดวงจิตทั้งหลาย.. ที่เกิดในชมพูทวีปนี้ — จึงเป็นกลุ่มดวงจิต ที่อยู่ในสภาวะของ
ทวีปแห่งการคัดกรองดวงจิต
ให้ไปสู่ที่ที่สูง- ต่ำ
หรือว่า จะออกจากวัฏสงสารนี้ไป
… เช่นนี้ อย่างนี้ละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย

ต่อไป ลูกทั้งหลาย.. จงพิจารณาให้เห็นตามอย่างนี้ว่า..
ตรงจากโลกมนุษย์ต่ำลงไปลึกลงไป.. สู่ใต้ก้นของจักรวาลวัฏสงสาร
— ต่ำสุดด้านล่างนั้น..
มีโลกอีกโลกหนึ่ง เรียกว่า โลกนรก

ซึ่งโลกนรกนั้น.. ก็เป็นโลกที่มีการทำโทษ
สำหรับดวงจิตผู้กระทำผิด กระทำบาป กระทำชั่วช้าต่างๆทั้งหลาย..
จะมีนรกอยู่หลายขุม ที่จะใช้สำหรับลงโทษดวงจิตที่ทำผิด ในรูปแบบต่างๆ
– ตามกรรมไม่ดีที่ตนได้ก่อได้ทำ..

ซึ่งโลกนรกนั้น.. ก็เป็นสถานที่แห่งการคุมขัง ทำโทษ
เพื่อที่จะให้ดวงจิตผู้ก่อกรรมทำเข็ญผู้ที่สร้างบาป สร้างกรรมทำเวรนั้น.. ได้
– ชดใช้วิบากกรรมของตน
– จ่ายหนี้กรรมของตน

จึงเป็น เมืองนรก- เมืองที่สัตว์นรก เปรต อสุรกายทั้งหลาย อาศัยอยู่..
… เพื่อชดใช้กรรมของตน

เช่นนี้ละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย.. ในโลกจักรวาลวัฏสงสารนี้ – จึงมีทั้งหมดอยู่ 6 โลก
ซึ่งเป็นโลกที่เล็กลงมา
เป็นจักรวาลแต่ละจักรวาลที่เล็กลงมา

แต่มีมหาจักรวาลอันยิ่งใหญ่ คือ ขอบเขตของวัฏสงสาร คุมทั้ง 6 โลกนี้
ตั้งอยู่ในอาณาเขตแห่งวัฏสงสาร

ซึ่งที่นี่ละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย..จึงเรียกว่า วัฏสงสาร
เปรียบดังมีกรงขังอันใหญ่ๆ
ใหญ่มากจนคลุมไป
– สูงสุด ถึงเมืองสวรรค์
– ต่ำสุด คือ เมืองนรก
ครอบไว้ คลุมไว้เป็นรูปวงรี เป็นอาณาเขตแห่งวัฏสงสาร

นี่ละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย..อาณาเขตที่ดวงจิตทั้งหลายอาศัยอยู่ เพื่อเล่นเกมชีวิต

และดวงจิตทั้งหลาย ก็..
ขาดทุน – ลงสู่นรกบ้าง
ได้กำไรมาก – ขึ้นสู่สวรรค์บ้าง
แล้วก็กลับมาเกิดเป็นมนุษย์บ้าง
ไปเกิดเป็นพญานาคบ้าง

และนอกเหนือจากนั้นแล้ว ยังมีมิติต่างๆที่เรียกว่า ภูมิที่ซ้อนภูมิ
… เป็นภูมิเล็กภูมิน้อย จนนับประมาณมิได้
– ซ้อนอยู่ในโลกมนุษย์
– ซ้อนอยู่ในช่องว่างระหว่าง โลกนรก – ไปสู่โลกมนุษย์
– ซ้อนอยู่โลกบาดาล
– ซ่อนอยู่ ซ้อนอยู่ระหว่างโลกบาดาล – สู่โลกมนุษย์

มีภูมิต่างๆ มิติต่างๆมากมาย ที่ซ้อนอยู่ ซ่อนอยู่ในอากาศในช่องว่างระหว่าง
– โลกมนุษย์สู่โลกสวรรค์
– ซ้อนอยู่ในโลกสวรรค์
… เช่นนี้ เป็นต้น ลูก

เป็นมิติต่างๆ
เพียงแต่มิติต่างๆ ภูมิต่างๆเหล่านี้.. สามารถที่จะเกิดขึ้น- ตั้งอยู่- ดับไป ตามเหตุตามปัจจัย
ไม่เหมือนโลกทั้ง 6 ที่ไม่อาจจะแตกสลาย เปลี่ยนไปสู่ความไม่มี+

ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงในโลกแต่ละโลก เปลี่ยนตามยุคตามสมัย
— แต่การแตกดับนั้น.. ย่อมไม่มี!!

ต่อไป สภาวธรรมของโลกแห่งพระนิพพาน.. ลูกเอ๋ย
โลกแห่งพระนิพพานนั้น อยู่ไกลออกไป – ทางทิศเบื้องบน ทางขวามือ
— ไกลออกไปห่างจากวัฏสงสารออกไปมาก – โดยประมาณมิได้

เพราะเป็นสภาวธรรมแห่งทางทิพย์ — จึงไม่อาจใช้เครื่องมือใดในโลกมนุษย์ ในสมมุตินี้
มาวัดว่าไกลแค่ไหน
แต่ห่างจากวัฏสงสารออกไปทางทิศเบื้องบน แล้วก็เฉียงไปทางขวามือ
ห่างไกลขึ้นไป

ที่นั่นเรียกว่า ดินแดนแห่งพระนิพพาน หรือโลกของพระนิพพาน – ตามสมมุติ
แต่ให้ลูกทั้งหลาย.. ได้เข้าใจว่า คืออาณาจักรอีกอาณาจักรหนึ่ง

ที่นั่น เป็นอาณาจักรที่ตั้งอยู่นอกวัฏสงสาร — จึงไม่ต้องเป็นไปตามกฎของวัฏสงสาร
แต่เป็นดินแดนที่มีความสุข ความสงบ
เป็นดินแดนที่มีความบริสุทธิ์ / ไม่มีกิเลสตัณหาเจือปน
เป็นสถานที่ที่ดวงจิตทั้งหลาย.. ผู้ที่บำเพ็ญบารมีจนขัดเกลากิเลสจนหมด
จนชนะในเกมของวัฏสงสาร-ผู้ออกจากเกมได้แล้ว..
… จะไปอยู่ในที่แห่งนั้น *

และการอยู่นั้น จะเรียกว่าอยู่.. ก็ไม่ใช่
จะเรียกว่าไม่อยู่.. ก็ไม่ใช่

เพราะเป็นสภาวธรรมของการอยู่เหนือความมี – และไม่มีทั้งปวง
เพราะได้สลายจิตนั้น -กลับคืนสู่ธรรมชาติของจิต คือ ความบริสุทธิ์แห่งจิต
ไม่มีอัตตาเป็นที่ตั้งของการอยู่ อีกต่อไป

จึงทรงสภาวะ
อยู่เหนือความว่าง – และไม่ว่าง
อยู่เหนือความมี – และไม่มี
อยู่เหนือการดับสูญ – และไม่ดับสูญ

เป็นสภาวธรรมที่บริสุทธิ์ – เกินกว่าที่จะสามารถเปรียบเทียบ
หรือนำเอาสิ่งใดมาอธิบาย..

เพียงแต่ลูกทั้งหลาย ได้รู้ว่า
— ที่นั่น คือ ที่ที่พ้นทุกข์แล้วอย่างถาวร —
ไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร
ไม่ต้องมาเล่นเกมชีวิตนี้อีก
ไม่ต้องมาสุข มาทุกข์ มาเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในวัฏสงสารนี้อีก

และที่นั่น คือ สถานที่แห่งการรองรับผู้ที่ชนะในเกม +

ซึ่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย..
องค์พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย..
และองค์พระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย..
… ก็เสด็จประทับอยู่ในที่แห่งนั้น ณ เมืองแก้วเมืองนิพพาน
เพียงแต่เป็นสภาวะแห่งการอยู่เหนือ – และไม่อยู่ทั้งปวง

เช่นนี้ละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย..ให้ลูกทั้งหลาย ลองระลึกตามนี้ดูว่า..
ในอาณาเขตแห่งวัฏสงสารนั้น – คือ
1. โลกก่อเกิดดวงจิต
2. โลกสวรรค์
3. โลกร่างกาย หรือโลกแห่งการสร้างร่างกาย
4. โลกบาดาล
5. โลกมนุษย์
6. โลกนรก

มีทั้ง 6 โลกนี้ – ที่ตั้งอยู่ในอาณาเขตแห่งวัฏสงสาร
เป็นโลกที่ดวงจิตทั้งหลายก่อเกิดขึ้นแล้ว.. ต้องดำเนินไปตามอำนาจของกฎในวัฏสงสาร
คือกฎแห่งความไม่เที่ยงแท้ และกฎแห่งกรรม

ดิ้นรนกันไป ทดสอบกันไปตามอำนาจแห่งกิเลสตัณหา คือ ความไม่รู้ตามความเป็นจริง
พากันพัวพันมัวเมา ลุ่มหลงยึดติดกันอยู่ในนี้
— จนเป็นผู้ที่ไม่เข้าใจกฎเกมกติกาของวัฏสงสาร
ไม่เข้าใจอาณาเขต ความเป็นอยู่ของวัฏสงสาร
… จึงเป็นผู้แพ้ในเกมอยู่ร่ำไป !!

ฉะนั้น วันนี้ ลูกทั้งหลาย.. ก็คงจะได้เข้าใจ และเห็นสภาวะของอาณาเขตแห่งการเล่น
เกมชีวิตแล้วว่า..
เราอยู่ในจุดตรงนี้
เรานี้จะต้องออกจากตรงนี้ไป
— เพื่อที่จะไปสู่พระนิพพานคือ ที่ที่พ้นทุกข์
— เพื่อที่จะออกจากวัฏสงสารนี้ไป..

จะออกจากกรงขังนี้ไปให้ได้
ให้จิตของเรานั้นเป็นอิสระ
ไม่ต้องอยู่ใต้กฎเกณฑ์ กฎอะไรของวัฏสงสารอีกต่อไป..
— จะได้ไม่เป็นทุกข์ —

เอาละนะ พระพุทธเจ้าน้อยเอย..วันนี้ ลูกทั้งหลายก็ได้เรียนรู้เรื่องของ โลกจักรวาลวัฏสงสาร
ได้ทำความเข้าใจถึงอาณาบริเวณแห่งการที่ลูกนั้น.. จะต้องได้เล่นเกมชีวิตว่า..
– จะต้องทำแบบไหน ยังไง ?
– ให้ออกจากที่ไหนไป – เพื่อไปสู่ที่ไหน ?

ลูกพอจะเข้าใจบ้างแล้วหรือยังเล่า
จงกล่าวธรรมนี้มาเถิด.. พระพุทธเจ้าน้อยเอย

+ +
พระพุทธเจ้าน้อย :: สาธุ พระพุทธเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณในความเมตตาของพระพุทธองค์ นะเจ้าคะ

ลูก เมื่อได้สดับฟังธรรมนี้แล้ว ก็พอจะเข้าใจแล้วว่า..
เกมชีวิต จะต้องเริ่มต้น
/ เรียนรู้ โลก จักรวาลวัฏสงสาร
/ รู้พระนิพพาน
/ รู้แผนที่แห่งการเล่นเกม

เพื่อจะได้เข้าใจในกติกาของเกม – ตั้งแต่เริ่มต้นว่า..
เรายืนอยู่ในจุดไหน
และเราต้องทำยังไง เพื่อออกจากจุดนี้ไป
และจะไปที่ไหน

ให้ลูกทั้งหลาย.. ได้เข้าใจในเรื่องของวัฏสงสาร โดยเข้าใจใน
ธรรมประการที่ 1 ว่าคือ โลกก่อเกิดดวงจิต
ธรรมประการที่ 2 คือ โลกแห่งสวรรค์
ธรรมประการที่ 3 คือ โลกการสร้างร่างกาย
ธรรมประการที่ 4 คือ โลกบาดาล
ธรรมประการที่ 5 คือ โลกมนุษย์
ธรรมประการที่ 6 คือ โลกนรก

และยังให้ลูกทั้งหลาย.. ได้เข้าใจถึงสภาวะของวัฏสงสาร ได้อย่างชัดเจน
รวมถึง ธรรมในประการที่ 7 คือ สภาวธรรมแห่งพระนิพพาน
และการอยู่นอกจักรวาลวัฏสงสารของพระนิพพาน

ลูกทั้งหลาย.. พอจะเข้าใจ
และดู รู้ เห็น เข้าใจ ในแผนที่ของเกมชีวิตแล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ

กราบขอบพระคุณในความเมตตาของพระพุทธองค์ นะเจ้าคะ
เอาไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ เพื่อพิจารณา ศึกษาต่อยอด ในเรื่องต่อไป
เพื่อรู้ และเข้าใจสภาวะของวัฏสงสาร / สภาวะความเป็นอยู่ของวัฏสงสาร อย่างกระจ่างแจ้ง
— เพื่อเป็นผู้ที่จะได้รู้กติกา และสามารถชนะในเกมชีวิตได้ พระพุทธเจ้าค่ะ

พระพุทธองค์ :: ดีแล้วละพระพุทธเจ้าน้อยเอย..
ธรรมเหล่านี้นั้น..
* เป็นธรรมละเอียดประณีต
* เป็นธรรมอันสูงสุด
* เป็นธรรมครอบโลก ครอบจักรวาลวัฏสงสาร

** ธรรมเหล่านี้ เป็นธรรมที่สำคัญแก่นักปฏิบัติทั้งหลาย
เพื่อจะได้รู้ และเข้าใจวัฏสงสาร และพระนิพพาน
— เพื่อออกจากทุกข์ได้–

ฉะนั้น.. ลูกจงน้อมธรรมเหล่านี้ สื่อลงสู่โลก
ส่งให้กับดวงจิตทั้งหลาย..ได้ฟัง ได้พิจารณาตาม

การสำเร็จบรรลุธรรม การเป็นผู้ชนะในเกมชีวิต
ออกจากวัฏสงสารคือ กรงขังอันยิ่งใหญ่นี้
— สามารถที่จะออกได้ และพ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริง ++

จงตั้งใจทำหน้าที่ของตน ในการเผยแผ่ธรรมต่อไปเถิด..

+ +
พระพุทธเจ้าน้อย :: สาธุ พระพุทธเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณในความเมตตาของพระพุทธองค์ ที่มีต่อลูกทั้งหลาย
ที่ทรงปูทาง ชี้ทางบอกทาง บอกกติกาทุกอย่างแก่ลูกๆ

ลูกจะตั้งใจประพฤติปฏิบัติตามและทำหน้าที่ของลูกๆให้ดีที่สุด พระพุทธเจ้าค่ะ
วันนี้ ลูกต้องกราบขอลาก่อนนะเจ้าคะ เอาไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ พระพุทธเจ้าค่ะ…

สาธุ