เทศน์โปรดชาวสวรรค์

ธรรมะธรรมจักรกึ่งพุทธกาล วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2565
บทที่ 43 **เทศน์โปรดชาวสวรรค์**
+ +

ในเช้าของวันที่ 17กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565ณ มหาวิชชาลัยธรรมิกราช
เมื่อท่านพระพุทธเจ้าน้อยได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้า ต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้พบกับพระองค์ท่าน ซึ่งทรงประทับอยู่สูงสุด ณ สวรรค์ชั้น 6 เหล่าทวยเทพเทวาทั้งหลาย
ต่างก็มาชุมนุมกัน ณ สถานที่แห่งนั้น – โดยมีพ่อพระอินทร์ และพระแม่โพธิสัตว์กวนอิม
ทั้งหลาย.. เป็นผู้ที่มาเฝ้ารับเสด็จ เพื่อฟังธรรมจากพระพุทธองค์

เมื่อพระพุทธองค์ท่านได้เห็นพระพุทธเจ้าน้อยได้เข้าไปสู่ที่ประทับ ณ ที่สมควรแล้ว คือ บนบัลลังก์
แห่งองค์พระพุทธเจ้าน้อย พระองค์ท่านจึงทรงกล่าวดังนี้ว่า…

พระพุทธองค์ :: เอาละนะ บัดนี้ก็ได้เวลาอันสมควรดีแล้ว
คือว่า ทุกท่าน ก็ได้มาชุมนุมกันมารวมกันอยู่ในดินแดนแห่งนี้
และด้วยพลังพุทธบารมี ก็เปิดโลกธาตุ ส่งเสียงสภาวธรรมนี้ไปทั่วทุกที่ ทุกแห่งหน
ให้ดวงจิตทั้งหลาย.. ในทุกภพภูมิ ได้น้อมอนุโมทนาสาธุการร่วมกัน

พร้อมใจกันฟังธรรม.. ให้ตื่น ให้เข้าใจ
ธรรมที่จะแสดงดังต่อไปนี้ คือ ธรรมที่สำคัญยิ่งนัก *
ที่ลูกทั้งหลาย.. จำเป็นที่จะต้องตั้งใจฟัง เพื่อให้เข้าใจกันนะ

ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. การเกิดนั้น – เป็นทุกข์
การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้ – เป็นทุกข์ยิ่งนัก !

ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. การหลุดพ้นจากวัฏสงสารนี้เท่านั้น..
จึงจะเป็นสุข
จึงจะเป็นอิสระ พ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย การเวียนว่ายเวียนวนในวัฏสงสาร
พ้นจากอำนาจแห่งกรรม อำนาจแห่งความไม่เที่ยงแท้ กฎเกณฑ์ต่างๆในวัฏสงสารนี้

ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ลูกจงมองดูเถิดว่า ดวงจิตแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย
องค์พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย
และเหล่าพระอรหันต์สาวกทั้งหลายนั้น
… ย่อมเป็นสุขเป็นอิสระอย่างแท้จริง *

ไม่มีสิ่งใดพัวพันข้องเกี่ยวอีกต่อไป ไม่มีภพชาติ การเวียนว่ายตายเกิด
สิ้นทุกข์อย่างแท้จริง
พ้นแล้วจากกรงขังอันยิ่งใหญ่ คือ วัฏสงสารนี้

ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. สถานที่แห่งที่ลูกทั้งหลายนั้นอยู่กัน คือ วัฏสงสารนั้น
บุคคลผู้บำเพ็ญบารมีสูงสุดให้พ้นทุกข์ – พ้นทุกข์แบบวัฏสงสารนั้น
สูงสุดก็คือชั้นพรหมโลก พรหมโลก คือ ที่ที่สูงสุดแห่งการดับทุกข์
— แต่ก็เป็นเพียงแค่การดับทุกข์ชั่วครั้งชั่วคราว ตามอายุขัยแห่งฌานสมาธิเท่านั้น ++

ก็ลูกจงดูเถิดว่า.. พรหมทั้งหลายที่อยู่ในชั้นพรหมต่างๆ ต่างก็ไปอยู่ในดินแดนเหล่านั้น
ด้วยสภาวะแห่งการเป็นกายเทพ กายทิพย์ กายพรหมทั้งหลาย..
มีแสงสว่างอยู่มาก / ไม่มีแสงสว่างอยู่มาก
เกิดดับ- ติดดับ ตามเหตุ ตามกำลังฌาน

พรหมทั้งหลายเหล่านั้น.. ย่อมสิงสถิตอยู่ตามอากาศ ตามธาตุต่างๆ ตามกำลังของฌาน
มีแสงแวววาว ระยิบระยับ

พรหมทั้งหลายเหล่านั้น.. ย่อมสิงสถิตอยู่ในดวงแก้ว
อยู่ในดอกไม้แก้ว ดอกไม้ทิพย์
อยู่ในวิมานเวียงวัง

ในพรหมโลก -ต่างหลับใหลอยู่ในฌานสมาธิ
แต่เมื่อหมดกำลังของฌาน.. ก็ต้องกลับลงมาเกิด – ไม่พ้นจากการเกิด +

ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. พรหมทั้งหลาย ที่บำเพ็ญจนถึงจุดที่สูงสุด หรือชั้นสูงสุดแห่งพรหมทั้งหลาย
พรหมทั้งหลายเหล่านั้น.. ก็ไปสถิตอยู่ในที่นั้น – ด้วยความหลับใหลไป ไม่รู้ตื่น
เป็นกาลเวลายาวนาน เป็นแสนเป็นล้านปีโลกมนุษย์

แต่ในที่สุด.. ก็ย่อมกลับต้องเกิดอีกในวัฏสงสารนี้
เพราะยังคงอยู่ในอาณาบริเวณแห่งวัฏสงสาร
เพราะว่าพรหมทั้งหลายเหล่านั้น.. ไม่ได้ดับการเกิดอย่างแท้จริง –
– ด้วยการตัดรากถอนโคนกิเลส
– ด้วยการเห็นตามสัจธรรม คือ ความจริง4 ประการ คือ
เห็นทุกข์ – เห็นทุกข์ภัยในการอยู่ในวัฏสงสาร
เห็นเหตุแห่งทุกข์ – ว่า คือกิเลส คือตัณหา คือการดิ้นรนขวนขวายต่างๆ

ไม่ได้เห็นที่ที่พ้นทุกข์ว่า..
คือ พระนิพพาน
คือที่ที่อยู่นอกวัฏสงสาร ที่ที่พ้นทุกข์อย่างแท้จริง

และไม่ได้เห็นตามเส้นทางแห่งมรรค 8 — จึงไม่ได้ดำเนินตามทางแห่งมรรค 8
เพื่อถอดถอนกิเลสและตัณหา ดับการเกิดอย่างแท้จริง
… จึงเป็นเพียงผู้ทรงอยู่ในฌานสมาบัติต่างๆ แล้วก็นิ่งไปด้วยอารมณ์ของฌาน
หลับใหลไปตามกาลเวลาแห่งการทรงฌาน เท่านั้น ++
เมื่อหมดเวลาจากการทรงฌาน ตามกำลังฌานของดวงจิตแต่ละดวง
… ก็ย่อมได้รอบต้องกลับมาเกิด

บัดนี้นั้น องค์พระพุทธเจ้าน้อยนั้น ได้ก่อเกิดขึ้นแล้ว
กาลเวลาแห่งการประกาศธรรมหมุนรอบมา จนถึง 2500 กว่าปีแล้ว.. ลูกเอ๋ย

บัดนี้ จึงได้เวลาแห่งการตื่นขึ้นมา เพื่อเฝ้าฟังธรรม
ทำความเข้าใจถึงอริยสัจ 4 คือ ความจริง 4 ประการ
ถอดถอนกิเลสตัณหา ความลุ่มหลง หลงใหล
ความเพลิดเพลินไปกับสิ่งสมมุติทั้งหลาย.. ในวัฏสงสารนี้..ให้หมดสิ้น
ถอดถอนกิเลสออกจากจิตของตน – เพื่อความพ้นทุกข์กันเถิด..ลูกทั้งหลาย

ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. บุคคลผู้ตกต่ำ ตกต่ำสุด – อยู่ในนรกอเวจี มหานรกอเวจีนั้น
บุคคลกลุ่มนั้น.. ก็ทุกข์ทนลำบากด้วยว่า กามคุณทั้ง 5- เป็นเหตุ
การลุ่มหลงหลงใหลพัวพันมัวเมา ไปในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสทั้งหลาย
— บุคคลทั้งหลาย.. ย่อมเป็นทุกข์มากมาย – เมื่อจมอยุ่ในนรก อเวจี !

ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. การที่ลูกทั้งหลายนั้น – ตกเป็นทาสแห่งมารทั้งหลาย
อำนาจแห่งกิเลสทั้งหลาย.. ครอบงำจิตของลูก
– จนกลายเป็นมาร
– จนกลายเป็นผู้ที่เป็นทาสแห่งมาร จนเป็นเทวปุตมาร สิงสถิตอยู่ในวิมานต่างๆ
ก็ด้วยเหตุของความลุ่มหลง ที่ลูกทั้งหลายนั้นจมอยู่ – อยู่ใต้อำนาจแห่งกิเลสตัณหา

และลูกทั้งหมดนี้.. ก็ยังคงเวียนว่ายตายเกิดทะเลทุกข์
หาที่สิ้นสุดไม่ได้ ไม่เจอ…

ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. บุคคลใดเล่า.. จะสูงสุดไปกว่าดินแดนพระนิพพาน ที่ที่พ้นทุกข์อย่างแท้จริง
อีกเล่า !

ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. การพ้นทุกข์จากวัฏสงสาร.. จึงเป็นสุข
อันเป็นบรมสุข สุขที่เที่ยงแท้แท้จริง.. ลูกเอ๋ย

ส่วนสุขในวัฏสงสารนั้น.. ถึงแม้จะสุขสูงสุด คือ อยู่ในพรหมโลก -ชั้นสูงสุดก็ตาม
สุดท้าย.. ก็ต้องกลับมาเกิดอยู่ดี +

การทุกข์ – ทุกข์ทรมานอยู่ในนรกอเวจี
หรือการตกเป็นทาสแห่งมาร ฝึกฝนตนจนกลายเป็นเทวปุตมารนั้น
ก็ใช่ว่าจะเจอความสุข.. ลูกเอ๋ย
ก็เจอความทุกข์อยู่ดี !

ฉะนั้น.. ลูกทั้งหลาย จงตื่นเถิด
จงตื่นให้รู้- รู้แจ้งตามความเป็นจริง อย่างนี้เถิด

พระพุทธเจ้าน้อยเอย..ดินแดนสวรรค์นั้น ในชั้นต่างๆ ย่อมมีสภาวะแห่งความเป็นทิพย์
มีความละเอียดประณีต ตามแต่ละภพภูมิ แต่ละดินแดน – ย่อมเป็นดินแดนที่สุขสำราญ
แต่ความสุขสำราญเหล่านั้น..ก็ไม่เที่ยงแท้!

ในที่สุดแล้ว.. ก็ต้องกลับไปเวียนว่ายตายเกิด
หาที่สิ้นสุดไม่ได้.. พระพุทธเจ้าน้อยเอย

ฉะนั้น ให้ลูกทั้งหลาย.. จงตื่นจากการหลับใหล
ไม่ว่าจะหลับใหลไปในพรหมโลก
หลับใหลไปในความสุข ความละเอียดประณีตของเมืองสวรรค์แต่ละชั้นก็ตาม

ลูกทั้งหลาย.. จงตื่นเถิด
ไม่ว่าลูกทั้งหลาย.. จะหลับใหลไปกับความทุกข์ ในนรกอเวจีมหานรกทั้งหลาย
หรือว่าจะหลับใหลไปกับกิเลสตัณหา สิ่งเพลิดเพลินต่างๆ สิ่งพัวพันมัวเมาทั้งหลายก็ตาม

จงตื่นเถิด ลูกทั้งหลายเอ๋ย..
นี่คือโอวาทธรรมสำคัญในวันนี้ ที่องค์พระพุทธเจ้าได้ประกาศไว้ในที่นี้
และกึกก้องไปทั่วโลก
ให้ลูกทั้งหลาย..ในไตรภูมิโลกธาตุต่างได้ตื่นกันเสียเถิด.. ลูกเอ๋ย

+ +
พระพุทธเจ้าน้อย :: สาธุ พระพุทธเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟังกัน พระพุทธเจ้าค่ะ

ลูกทั้งหลาย.. พอจะเข้าใจเหตุที่พระองค์ทรงชี้บอกแล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ
ว่า ถึงแม้จะเกิดในดินแดนที่สมมุติว่า ดีที่สุด คือ พรหมโลก – ที่ที่ไม่มีทุกข์
แต่ก็เพียงแค่เข้าสู่ฌานสมาบัติต่างๆ
ทรงสภาวะในรูปแบบต่างๆ ในพรหมชั้นต่างๆ
ตามความละเอียดของจิตของฌานเท่านั้น
— เมื่อหมดกำลังฌาน.. ก็ต้องกลับมาเกิดอยู่ดี —

ไม่ว่าจะเกิดในที่ที่ทุกข์ที่สุด คือ นรกอเวจี มหานรกขุมต่างๆ
ถึงแม้ว่าจะเกิดเช่นนั้น – ก็มีแต่ความทุกข์
ในที่สุด.. ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ดี
— ไม่สามารถแตกดับ หรือตายจากไปได้..

ลูกทั้งหลาย.. ควรที่จะตื่นรู้ว่า ถึงแม้ว่าจะเกิดในสวรรค์ชั้นฟ้า ตั้งแต่สวรรค์ ชั้น 6
ลงมาจนถึงสวรรค์ ชั้นที่ 1
— แต่ก็ยังคงต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ดี

ฉะนั้น.. จึงไม่ควรเพลิดเพลิน หลงใหลลุ่มหลงไปกับสิ่งต่างๆทั้งหลาย.. ในวัฏสงสาร
ไม่ว่าจะเป็นการติดอยู่ในพรหมโลก
หรือว่าจะเป็นการติดอยู่ในสวรรค์
ติดอยู่ในภูมิต่างๆ ดินแดนต่างๆ
ติดสุขอยู่ก็ดี – ติดทุกข์อยู่ก็ดี

ลูกทั้งหลาย.. ไม่ควรจะเพลิดเพลินกันอยู่เช่นนี้
ควรจะฟังธรรมแห่งองค์พระศาสดา.. ให้
– เห็นทุกข์
– เห็นเหตุแห่งทุกข์
– เห็นที่ที่พ้นทุกข์
– และเห็นวิธีแห่งการประพฤติปฏิบัติ เพื่อดับทุกข์

ให้ลูกทั้งหลาย.. จงดำเนินอยู่ในเส้นทางแห่ง มรรค 8 คือ ศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา
– เพื่อมุ่งสู่พระนิพพาน
ลูกพอจะเข้าใจเช่นนี้แล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ

พระพุทธองค์ :: ก็ดีแล้วละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย..
ลูกก็เป็นตัวแทนของดวงจิตทั้งหลาย – ในวัฏสงสาร
ปลุกจิตทั้งหลาย..ให้ตื่นรู้ รู้ตามความเป็นจริง

สภาวะแห่งพรหมโลก – ก็ถูกเปิดออก
สภาวะแห่งเทวโลก คือ ดินแดนแห่งสวรรค์แต่ละชั้น
ดินแดนของเหล่าเทพบุตร เทพยดาทั้งหลาย ก็ถูกเปิดออกแล้ว

เมืองทิพย์ใดๆในวัฏสงสาร – ถูกเปิดสภาวธรรมให้เชื่อมต่อกัน
ให้ทั่วถึง – ด้วยธรรมกึ่งพุทธกาล
ปลุกจิตทั้งหลาย.. ให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
ให้จิตทั้งหลายเหล่านั้น.. จงตื่นเถิด ลูกเอ๋ย

+ +
พระพุทธเจ้าน้อย :: สาธุ พระพุทธเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณในความเมตตาของพระพุทธองค์
ด้วยพลังบารมีของพระพุทธองค์ และธรรมกึ่งพุทธกาล

ลูกจะใช้พลังนี้..เปิดโลกธาตุให้ดวงจิตต่างๆทั้งหลาย.. ได้เข้าใจถึงสภาวธรรม
ของวัฏสงสาร อย่างกระจ่างแจ้ง
เห็นทุกข์เห็นภัยเห็นในสิ่งที่เป็น ที่มีอยู่

เพื่อให้ดวงจิตทั้งหลายเหล่านี้.. ได้รู้ตามความเป็นจริง และออกจากทุกข์
ด้วยการสื่อสภาวธรรมของโลก จักรวาล วัฏสงสาร
เปิดเผยสภาวธรรมเหล่านี้ลงสู่โลก พระพุทธเจ้าค่ะ

พระพุทธองค์ :: ดีแล้วละ พระพุทธเจ้าน้อยเอย..
ถ้าอย่างนั้น.. ลูกก็จงตั้งใจ ทำหน้าที่ของลูกต่อไปนะ

+ +
พระพุทธเจ้าน้อย :: สาธุ พระพุทธเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณในความเมตตาของพระพุทธองค์ พระพุทธเจ้าค่ะ…

สาธุ